Wednesday, April 23, 2008

เด็กสมาธิสั้น...ทำไงดี

12 วิธี ช่วยจัดการเด็กในสมาธิสั้น สำหรับพ่อแม่
ผ.ศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์
ตั้งนาฬิกา-ตั้งเวลา : ลองใช้นาฬิกาเตือนตามเวลาที่เป็นจริง เช่น เตือนเมื่อถึงเวลาทำงาน เตือนเมื่อหมดเวลาเล่น หรือไม่ก็หานาฬิกาเรือนโตๆ มาให้เด็กเห็นได้ชัดๆ จะช่วยเด็กให้กะประมาณเวลาได้ดีขึ้น
ชมแบบปืนไว : หัดเป็นคนพูดชมสั้นๆ หรือตบไหล่ตบหลังทำนองชื่นชมเด็กทันทีที่เด็กเขาปฏิบัติตัวตามที่เราคาดหวัง ยิ่งเร็วยิ่งทำให้เด็กภูมิใจอยากทำอีก หัดเป็นเสือปืนไวครับ
ชม ชม และชม : ทำให้เด็กซนสมาธิสั้นเหล่านี้รู้ให้ได้ว่า อะไรที่เราอยากให้เป็น โดยการชมเด็กเหล่านี้ ต้องการคำชมบ่อยกว่าเด็กทั่วไป เพื่อช่วยนำเขาให้ประพฤติถูกทางไปเรื่อยๆ จนทำงานได้ผลสำเร็จ หน้าที่ของพ่อแม่คือ ชมเชยเขาเมื่อทำถูกทางแล้วนั่นเอง
ทำตัวเป็นเครื่องจักรจ่ายรางวัลง่ายๆ : เด็กพวกนี้ต้องการรางวัลที่จับต้องได้มากกว่าคำชมลอยๆ แต่รางวัลก็จะต้องทำให้ดูสำคัญสำหรับเขา นั่นคือคุณเองก็ต้องเป็นคนสำคัญของเขาเช่นกัน ต้องหมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเมื่ออยู่ด้วยกัน เมื่อได้รางวัลเล็กๆน้อยๆเขาจะดีใจและพยายามทำตัวดีขึ้น
เปลี่ยนรางวัลบ่อยๆ ให้ดูสนุก : วิธีนี้จะช่วยให้เด็กไม่เบื่อกับรางวัลเกินไป และจะคงพฤติกรรมดีๆไว้ได้ ลองให้เขาช่วยคิดตั้งรางวัลให้ตัวเองดู (แน่นอน ในขอบเขตที่เป็นไปได้) ทำให้ดูว่าเป็น เรื่องไม่จำเจ แม้จะให้เขาประพฤติตัวแบบเดิม
ลงมือ อย่าเอาแต่เหน็บหรือประชด : เด็กซนสมาธิสั้นมีปัญหาที่การลงมือปฏิบัติไม่ใช่ความไม่เข้าใจ ดังนั้นยิ่งคุณพูดมาก อธิบายยาว หรือเหน็บแนมประชดประชันมากเท่าไร จะยิ่งทำให้เด็กทำงานเสร็จช้าลงเท่านั้น พยายามทำแค่เตือนสั้นๆ ให้รางวัลง่ายๆบ่อยๆแบบที่บอกข้างต้น โดยลดความจู้จี้ ย้ำซ้ำ และคำพูดไม่น่าฟังลง
แสดงออกในทางบวก : บอกสิ่งที่เราอยากให้เด็กทำในทางบวก คิดให้ชัดเสียก่อนว่าเราอยากให้ทำอย่างไร แล้วบอกให้เขารู้ โดยมีรางวัลกระตุ้นความอยากบ้าง อย่าลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกันไว้ พอเริ่มทำไปได้สัก 2 อาทิตย์ อาจมาปรึกษาหมอหรือครูที่ปรึกษาดูว่า ถ้าเด็กทำพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ ว่าทำอย่างไร การลงโทษจะได้ผลแค่ช่วงต้นๆ แต่มักล้มเหลวที่จะให้เขาทำดีในระยะยาว
จงเตรียมพร้อม : อย่างที่คุณรู้ เด็กพวกนี้มีปัญหาในเรื่องเก่าๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าเอาแต่เบื่อล่วงหน้า เตรียมตัวไว้ก่อนว่า เราจะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอย่างไร ก่อนที่เด็กจะไปสถานการณ์เดิมๆอีก ควรทำดังนี้
ทวนข้อตกลงที่มี (ถ้ามี) 2-3 ข้อไว้ เด็กฟังแล้วให้เด็กพูดซ้ำ
ตั้งรางวัลหรือชมเชยเด็กเล็กๆน้อยๆทันทีที่เด็กทำตาม
ตั้งการลงโทษไว้ด้วยถ้าเด็กผิดข้อตกลง
พอเข้าสถานการณ์จริง สร้างความสัมพันธ์กับเด็กให้ดีตลอดที่เขาทำดี
ให้รางวัลหรือลงโทษทันทีที่พฤติกรรมที่ดีหรือไม่ดีนั่นๆเกิดขึ้น
จำเสมอว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น : โรคซนสมาธิสั้นทำให้เด็กหยุดตัวเองได้ยากขึ้น บางคนหยุดไม่ได้
เลยถ้าไม่มีคนหยุดให้หรือช่วยฝึกวิธีหยุดให้เขา แน่นอนโรคนี้สร้างปัญหาทั้งกับที่บ้าน, โรงเรียน หรือ
ทุกที่ที่ต้องการให้เขาหยุดพฤติกรรม ความที่ “ห้ามล้อ” เขาเสียจะให้คนดูเขาว่า เป็นเด็กที่คุมตัวเอง
ไม่เป็น ไม่รักษาเวลา บางคนจะดูเหมือนเด็กกว่าเพื่อนๆ
10. เลือกแต่เรื่องที่สำคัญน่าตอแยให้เหลือไม่มาก : เราต้องมาเรียงลำดับว่า อะไรสำคัญก่อนหลัง
สำหรับเด็กและคุณ โดยเน้นให้เด็กช่วยตัวเองเป็นเข้าสังคมได้ ผ่อนผันส่วนยังไม่สำคัญจำเป็น
เล็กน้อยตอนนี้ออกไปบ้าง เลือกแต่ส่วนใหญ่ๆก่อน
11. หยุดโทษตัวเอง หยุดโทษเด็ก : อย่านำปัญหาของตัวคุณไปใส่รวมกับของเด็กด้วย ไม่มีวิธีการไหนที่
ได้ผลทุกวัน ถ้าวันไหนเกิดไม่ได้ผล อย่าเพิ่งโทษตัวเอง ว่าตัวเองเป็นพ่อแม่คนไม่ได้ เด็กซน
สมาธิสั้นจะมีวันดีกับไม่ดี ขึ้นๆ ลงๆ ความผันผวนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นพ่อแม่ดีระดับไหน
แต่เป็นจากตัวโรคของเขาเอง ต้องเน้นว่ามองหาแต่พฤติกรรมที่ดี
12 . หัดให้อภัย : ก่อนนอนทุกวัน หัดให้อภัยยกโทษให้เด็กถ้าเขาทำไม่ดีไว้ในวันนั้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้
เห็นว่าเราอยากให้เขาดีจริงๆ นอกจากนี้ หัดยกโทษให้ตัวเองด้วย ถ้าเราทำอะไรไม่เหมาะไปในวันนั้น
From :http://www.autismthai.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=5369742

Monday, April 14, 2008

ไม่แก่แต่อายุยืน

1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี 1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหาร เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น 2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ 3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันทีดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว 4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล 2.โรค Attention Deficit Trait โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ ? ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า ) ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง *** ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADTเนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)*** 3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้ น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น<> จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่ เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ 1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ 2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ 3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ 5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว... 4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy เพื่อนคนหนึ่งหกล้มในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น อิงอิงดู ยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น ถ้าหากเพื่อนๆรูจักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็จะมีโอกาสรอด ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง วิธีวินิจฉัยอาการ แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้ > S: (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม > T: (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง > R: (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!! ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่งร.พ.โดยด่วน โปรดส่งข้อความนี้ให้เพื่อนๆ เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น นาย ชัยวัฒน์ เตียตระกูล

30 ความสุขแบบง่ายๆ

30 ความสุขแบบง่ายๆ...1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับตัว 3 ชั่วโมง2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากจัง5. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบ จะทำให้ฟังสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากที่รสชาติธรรมดาก้อจะอร่อยขึ้นเยอะเลย7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก้อต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด8. การขึ้นบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไหร่9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆ ทันทีที่เธอถามเค้าว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมค่ะ"10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก11. ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟัง
14. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด 15. เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ16. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง18. ก่อนจะซื้ออะไรก้อตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน19. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก้อจะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด22. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะดีขึ้น23. แอบรักใครซักคน ยังไงก้อดีกว่าไม่เคยรู้ว่า ความรู้สึกรักมันเป็นยังไง24. ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ก้อไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26. ถ้าเธอเช็ดกระจกบานที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมเธอจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุก แต่ก้อมีประโยชน์แฝงอยู่บ้าง28. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายนะ29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านมา ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน คุณจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหลายบาท

40 เรื่อง

> เรื่อง : 40 เรื่องรักที่ไม่รู้ไม่ได้> > 1. อารมณ์หึงเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่อารมณ์หึงของผู้หญิงจะซับซ้อนกว่าผู้> ชาย
> 2. ผู้ชายร้อยละ 90 ชอบผู้หญิงสวย น่ารัก แต่ผู้ชายร้อยละ 100 อยากอยู่กับผู้> หญิงฉลาดและเฉลียว
> 3. คน ที่มีแฟนขี้หึงขั้นรุนแรงมีเพียง 0.000001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ชอบ นอก> นั้นรู้สึกว่าอึดอัด ผู้ชายทั้งหลายควรจะดีใจที่มีแฟนขี้หึงซะ
> 4. ไม่เคยมีคู่ไหนไม่ต้องใช้ความอดทนในการรัก เพียงแต่จะเป็นการอดทนใน> รูปแบบไหนเท่านั้นเอง
> 5. คนที่มีกิ๊กนอกเหนือจากแฟนตัวจริง คือคนที่ไม่ศรัทธาในความรัก
> 6. อย่ากลัวการอกหัก เพราะไม่เคยมีใครตายจากโรคอกหัก มีแต่ความอ่อนแอ> เท่านั้นที่ทำให้ฆ่าตัว ตาย
> 7. ความรักมักไม่เกิดตอนที่เฝ้ารอ แต่เมื่อปล่อยตัวตามสบาย ความรักมักจะมา> ทำเซอร์ไพรส์ให้หัวใจ
> 8. ถึงจะไว้ใจเพื่อนแค่ไหน ก็อย่าให้เพื่อนกับแฟนของเราสนิทกันเกินไปเพราะ> หายนะอาจตามมา
> 9. ถ้าเรารู้สึกอายเวลาเดินเคียงข้างแฟนที่ขี้เหร่ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้> รักเค้าจริง
> 10. อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า "> แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม "
> 11. ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้หึงขั้นรุนแรง อย่าได้เลือกคบผู้ชายที่หน้าตาและ> มนุษยสัมพันธ์ดีเด็ดขาด
> 12. การที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวย เซ็กซี่ จนเหลียวหลัง ไม่ได้หมายความว่าเข้า> ต้องการแฟนที่เป็นแบบ นั้น
> 13. ผู้ชายที่ไว้ใจได้ว่าไม่นอกใจแฟนหรือภรรยา มีเพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ในโลง> เท่านั้น ควรจำให้ขึ้นใจ ( ไม่ใช่เสมอไป )
> 14. พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่ามากกว่าผู้หญิงที่แย่งแฟนเราไป แล้วซักวัน> แฟนเราจะกลับมาเอง
> 15. อย่าคบกับผู้ชายที่เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูดเสียๆหายๆ เพราะเราอาจจะ> เป็นรายต่อไป
> 16. ผู้ชายที่รักสัตว์ รักเสียงเพลง รักครอบครัว น่าคบมากกว่าผู้ชายที่รักตัว> เองซะอีก
> 17. อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดเสปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาด> คือความดีและความจริงใจ
> 18. ผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกิน ดูน่ารังเกียจกว่าผู้หญิงที่ชอบปอกลอกผู้> ชายหลายเท่า
> 19. มนุษย์ผู้ชายมีน้อยกว่ามนุษย์ผู้หญิง ผู้ชายที่ดีและเป็นโสดก็มีน้อยกว่าผู้ชายที่> เลวและมีเจ้าของด้วย
> 20. อย่ารักผู้ชายที่ทั้งขี้เหร่ ขี้เกียจ และขี้เมา เพราะเราจะต้องรู้สึกตกนรก> ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
> 21. คู่รักที่เดินกอดจูบกันต่อหน้าชุมชน มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะถูกประณามและดู> ถูกอย่างรุนแรง
> 22. เซ็กส์ไม่สามารถผูกมัดให้คู่รักอยู่ด้วยกันไปตลอด ความผูกพันต่างหากที่จะ> ดึงรั้งกันไว้ได้
> 23. อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าความคิดหัวใจตรงกัน ความมั่นคงก็เกิด> ขึ้นได้ ( ใช่ๆ ยิ้ม )
> 24. ในชีวิตจริงของความรัก เราอาจไม่ใช่นางเอกที่แสนดี บางทีต้องมีการใช้> ไหวพริบในการแย่งชิงบ้าง
> 25. คนสวยหรือคนหล่อสามรถอกหักได้เหมือนกัน ถ้าทำตัวไม่ดีหรือมีเวลาให้กับ> ความรักไม่พอ
> 26. ถึงจะได้ยินว่ามีรักที่ไหนมีทุกข์ที่นั่น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะมีความรัก> มากกว่าจะอยู่เป็นโสด
> 27. เรื่องที่แฟนไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกมักเป็นเรื่องที่เรารู้เมื่อไหร่ก็ต้อง> ควันออกหูอยู่ดี
> 28. ถ้าชื่นชมในตัวแฟน 100 เปอร์เซ็นต์ ควรบอกเค้าแค่ 70 เปอร์เซ็นต์
> 29. ถึงผู้ชายจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า แต่ผู้ชายก็ไม่ชอบคนที่หน้ามันหรือ> ซีดตลอด
> 30. ผู้ชายชอบติรูปร่างของแฟนหรือคนโน้นคนนี้ โดยลืมดูรูปร่างตัวเองว่าแย่> ขนาดไหน
> 31. คนต่างชาติต่างภาษาสามารถรักกันได้ เพราะภาษาหัวใจเป็นภาษาสากลที่> ไม่ต้องการคำแปล
> 32. ผู้ชายต้องใช้สมองและทักษะมากขึ้นในช่วงที่มีความรัก เพราะผู้หญิงมักปาก> ไม่ตรงกับใจ
> 33. ผู้ชายชอบเป็นฝ่ายไล่ล่า มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกล่า ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะ> พยายามหนีเมื่อถูกตามตื้อ
> 34. ผู้หญิงอาจไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขึ้น แต่เป็นเพราะผู้ชายไม่สามารถทำดี> ได้เสมอต้นเสมอปลาย
> 35. รักแรกพบสามารถเกิดได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเกิดจากการใกล้ชิด> และการเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้ง
> 36. คนที่เรารักกับคนที่รักเราอาจไม่ใช่คนเดียวกันเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเรา> บังคับหัวใจกันไม่ได้จริงๆ
> 37. ทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อได้มีความรักและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหลังจาก> อกหัก
> 38. มือที่สามสามารถเดินเข้ามาในชีวิตเราได้ตลอดเวลา ในความไว้ใจจึง> ควรมีความระวังอยู่ด้วย ( ถู .. ก .. ถูก )
> 39. อย่ารีบมีแฟนหลังจากอกหัก เพราะเราจะแยกแยะไม่ออกว่านั่นเป็นรักหรือ> การฆ่าเวลา
> 40. คนที่รักกันไม่จำเป็นต้องเดินจับมือหรือคุยกันตลอดทางแค่รู้สึกว่ามีกันแล=D

กฎแห่งกรรม

กฏแห่งกรรมข้อที่ 19 แล้ว

กฏแห่งกรรม 1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน 3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่ เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน 4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน 5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน 6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน 7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน 8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน 9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน 10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน 11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน 12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย 13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้ เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน 14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ 15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่ 16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ 17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์ 18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด 19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า ** อ่านเสร็จแล้วถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรมข้อที่ 19 แล้วจ้ะ :-)

ช่างคิด

Subject: ความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง 'ระยะปลอดภัย' ช่างคิดจริงๆ เนื้อเพลง : ระยะปลอดภัย - ว่าน ธนกฤต AF2 เพลง ระยะปลอดภัย ( หมายถึงช่วงเวลาก่อน7หลัง7 ) ช่วงเวลาดีๆที่เธอและฉัน ไม่ต้องกังวลอะไร ( ไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง ) เป็นช่วงเวลาดีๆที่เราทั้งสองจะมีแต่ความเข้าใจ วันนี้เป็นวันดีดี วันนี้เราควรจะทำอะไร (? นั่นสิ... ทำอะไรกันดี ) วันที่อะไรๆ ก็ดูจะเหมือนจะคอยเป็นใจให้กัน วันนี้จะทำอะไร ก็ ดูจะเหมือน ไม่ต้องระแวงระวัง ( เออ ไม่ท้องหรอก ) วันนี้คือวันดีดี มีฉันและเธอคนดีเท่านั้น * มีบรรยากาศ ฝนตกรถติด ช่วยฉัน ( ฝนตก = เปียก, รถติด = ไฟแดง ) ยังมี มือเปล่า ว่างอยู่ ให้จับเท่านั้น ลองดูที่ แก้ม ฉัน เธอนั้นว่ามีอะไร เอามือไป แตะหน้าผากว่าตัวร้อนมั๊ย ( ในช่วงวันนั้นของเดือน ผู้หญิงมักจะมีไข้ ) เอาเธอมากอดข้างกายไม่แบ่งใครๆ มีเราเพียงเท่านั้น มีเธอและมีฉัน อยู่ในวันสำคัญของเรา คิดจะเอาอะไร ก็ดูจะเหมือนจะง่ายจะดายอย่างใจ ( ยัง จะเอา อีกนะ ...) อยากได้อารมณ์อะไร จะเย็น จะร้อน จะช้า จะเร็ว อย่างไร ( อืมม... ) เธอนั้นพูดมาดีดีฉันพร้อมให้เธอคนดีทุกอย่าง อยากให้มัน ( ส์ ) เป็นยังไง จะยืน จะล้ม จะนั่ง จะนอน อย่างไร ( หลายท่าจัง... ) ปวดเนื้อเมื่อยตัว ยังไงไม่นานไม่ช้าก็คงจะคลายกันไป ( เป็นผลมาจากการใช้หลายท่าข้างบน... ) มีพร้อมแค่เรื่องดีๆ เธอพร้อมที่จะยินดีอีกไหม * ก็แค่ไม่อยากให้วันนี้ผ่านพ้นไปจะทำยังไง อยากหยุดเวลาไว้ ( วันที่ไม่ปลอดภัยก็ยืดอกพกถุงสิฟะ สาด ~) ในวันที่มันปลอดภัย มีเธอที่เคียงข้างกาย... สองเรา

หนึ่งภาพ แทนคำ ล้านคำพูด


หนึ่งภาพ แทนคำ ล้านคำพูด หนึ่งใบ ยายพูด พร่ำบอกหลาน หนึ่งเรียน ให้รู้ จึงอยู่นาน หนึ่งคน ถึงกาล ย่อมโรยลา .... อัฐนี้ ยาย อด เจ้าจึงอิ่ม ยามนี้ เจ้าอิ่ม จงเร่งหา เรียนนี้ ให้รู้ รอบปัญญา แต่นี้ ภายหน้า เป็นคนดี......

กรุณาอ่านโดยใช้วิจารญาณ

ได้กุศล ผลบุญในชาตินี้ ช่วยบอก ต่อ ๆๆๆๆๆๆๆ พ่อเลี้ยงวรรณฯ เจ้าของรวมเกษตรฟาร์ม มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อเดือนที่แล้วผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆฟัง ดังนี้พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลังคุณหมอทั้งไทยและเยอรมัน ไม่รับรองว่า จะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือ เป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรคกลับมาเมืองไทยจึงตั้งเป็นมูลนิธิวรรณ รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งฟรี!ปัจจุบันมีผู้รับการรักษา 100กว่าคน ณ อ.แม่สอดห่างจาก จว.ตาก 100 กม.วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้1.จิตใจ ต้องสู้2.อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ (ปลารับประทานได้)แล้วหันมารับประทานอาหารที่มะเร็งไม่รับ? ประทาน 15 ชนิด ได้แก่? ? ? 2.1 ธัญพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้อง, ข้าวม้ง, ข้าวบาเล่ย์,ข้าวสาลี, และลูกเดือยนำมาหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้า? ? ? ? 2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่, มันฝรั่ง, หรือมันเทศ,กล้วยน้ำว้าสุก (8ลูก/วัน), ฟักทอง, ข้าวโพดหวาน, ยอดแค, ถั่วพู (2 ชนิดนี้ห้ามขาด),บลอคโคลี่ หรือกะหล่ำ ดอก, ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง (ผักผลไม้ 5ชนิดแรกใช้นึ่ง)นำทั้ง 10ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมากเพื่อให้กระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก./วันกับธัญพืช3. อาบน้ำ ร้อนสลับเย็นหรือเย็นสลับร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที1ครั้ง/วัน? เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็งแล้วอาบร้อนจัดและเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้งสิ้น 2 จำพวกจะถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน4.การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที/วัน ง่ายไหมครับถ้าเพื่อนสนใจ สามารถเขียนจดหมายติดต่อ ขอรับธัญพืช ปลอดสารพิษจากไร่อ.แม่สอด ได้ฟรี! ตามสถานที่ข้างล่างนี้"มูลนิธิวรรณ"เลขที่ 3/681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ ลาดยาว จตุจักร กทม.- เบอร์โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ ?086-7886222

สามีตัวอย่างของชายทั่วโลก

ใครเป็นแบบนี้ยกมือขึ้น....ไม่ได้ทั้งหมดแค่นิดเดียวก็พอ สัก 10 ข้อจะมีมั้ย

สามีอย่างนี้มีจริงหรือ........... ?????
หลายอาทิตย์แล้วที่นักอ่าน วิพากษ์วิจารณ์ถึงพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่งอย่างรุนแรง เพราะข้อเขียนของผู้ใช้ชื่อว่า แพน เขียนถึง สามี ไว้ 100 อย่าง แต่ละอย่างสร้างคำถามว่า จริงหรือ??? เช่น ข้อ 4 ก่อนนอน เขาจะจับมือฉันไปวางที่อกซ้ายเพื่อให้ใกล้หัวใจที่สุด ก่อนจะพูดว่า รักที่รักครับ แล้วหลับปุ๋ย... ข้อ 10 เวลาฉันไม่อยู่ เขาจะจัดชุดนอนของฉันให้วางแผ่บนเตียง ตรงบริเวณที่ฉันนอน ราวกับฉันไม่ได้ไปไหน... ข้อ 15 เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เขาภูมิใจ ที่สุดในชีวิต เขาตอบว่า มีที่รักเป็นภรรยานะสิครับ... ข้อ 16 เขาซื้อสร้อยคอพร้อมจี้เพชร มาให้อีก 1 เส้น ฉันมองมันด้วยตาละห้อยบอกว่ามันสวยมาก แต่แพนมีเยอะแล้ว เสียดายเงิน เขาตอบว่า ไม่ต้องเสียดายครับ ของมีค่าอะไรที่อยู่บนตัวที่รัก ค่าของมันก็เพิ่มมากขึ้นอีกครับ... ข้อ 22 เมื่อเครื่องทำน้ำร้อนเสีย เขาจะยืนอยู่ข้างๆตลอดเวลาที่ฉันอาบน้ำ และคอยเอามือรองน้ำเป็นระยะเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าน้ำไม่เย็นเกินไปสำหรับฉัน ข้อ 32 ตอนเย็น เวลาเขามารับที่ทำงาน ทุกครั้งที่ลิฟต์เปิดเขาจะเตรียมเซอร์ไพรส์หน้าลิฟต์ หากวันใดฉันออกจากออฟฟิศช้าไปสิบนาที เขาเลยต้องทำท่า จ๊ะเอ๋! คนอื่นไปซะหลายคน... ข้อ 35 เช้าวันไหนเขาปลุกฉันด้วยเพลงเพราะๆหวานๆไม่สำเร็จ เขาจะเปลี่ยนเป็นเพลงคึกคัก จังหวะเร็วๆ และลงทุนลุกเต้นไปรอบๆห้องด้วยท่าตลกๆ... ข้อ 38 เวลาไปดูหนังที่น่ากลัว เขาจะเอื้อมมือโอบฉันให้พิงเขา พร้อมเอามือหนึ่งมาช่วยปิดตาฉันด้วย สำหรับ "สามีผู้แสนวิเศษ" ในเล่มนี้ ผู้เขียนบอกใน ข้อ 39 ว่า "ณ อายุ 39 เขาเป็นผู้บริหาร สูงสุดของบริษัทข้ามชาติด้านเอนเตอร์เทนเมนท์ เป็นประธานบริษัทให้คำแนะนำด้าน ประหยัดพลังงาน เป็นที่ปรึกษาให้ มาร์เกตติ้งเอเจนซี่ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประเทศใน แอฟริกาใต้ เป็นนักเขียนพ็อกเกตบุ๊กด้านการตลาด เป็นคอลัมนิสต์ นสพ.ธุรกิจ และที่สำคัญ เขาทำทุกหน้าที่ด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยมเสมอ" ยังไม่จบ ลองไปดูว่า ผู้บริหารสูงสุด+กงสุล�ประธานบริษัทฯลฯ ทำอะไรอีก ข้อ 41 ฉันนอนไม่หลับเพราะฝนตกหนักและฟ้าผ่าเสียงดัง เขาตื่นมาลูบหัวฉันปากพึมพำ โอ๋ กลัวฟ้าผ่าเหรอจ๊ะ แล้วตะแคงจัดท่านอนใหม่ เพื่อให้มือเขามาปิดหูฉันพอดี... ข้อ 44 ทุกครั้งที่เราอยู่บ้านคุณแม่ของเขา เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันสะดวกสบาย และไม่เกิดอาการโฮมซิค ซึ่งรวมทั้งเก็บกวาดเช็ดถูและปูเตียง... ...ข้อ 51 ช่วงวันทำงาน เขาจะตื่นเต้นเสมอหากมีวันไหนที่เราสามารถทานอาหารกลางวันด้วยกันได้ วันหนึ่งระหว่างรออาหาร อยู่ๆเขาก็ปรบมือ แล้วบอกว่า ดีใจจังเลย วันนี้ได้ทานข้าวกับที่รัก พูดจบก็เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจับมือฉัน ข้อ 54 หากฉันไม่สบายต้องไปหาหมอ เขาจะพยายามเลื่อนประชุมเพื่อไปเป็นเพื่อน มีครั้งหนึ่งเขาไปด้วยไม่ได้ และบอกฉันว่า ทันทีที่ฉันเอสเอ็มเอสไปบอกว่า หมอบอกว่าอีก 1 อาทิตย์ ฉันก็จะหาย เขาน้ำตาเอ่อ ขึ้นมาทันที ทั้งที่กำลังประชุมเครียด... ข้อ 62 ดึกแล้ว ฉันค่อยๆปีนขึ้นเตียง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกจนได้ เขาลืมตามองฉันแบบปรือๆแล้วพึมพำเบาๆ สวยจัง แล้วหลับต่อ... ข้อ 78 เขาบอกฉันว่า เป้าหมายสูงสุดของเขา คือทำให้ฉันมีความสุขทุกวัน... ข้อ 84 คืนไหนฉันหลับยาก เขาจะเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งคิดเองสดๆ โดยพากย์เสียงหมูหมากาไก่ด้วย ข้อ 85 เมื่อฉันไปนอกนานๆ เขาเอสเอ็มเอสมาบอกว่า ขอให้ที่รักมีแต่ความสบายใจ และประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ผมได้ฝากพระอาทิตย์ให้คอยเป็นเพื่อนที่รักตอนกลางวัน และขอให้พระจันทร์คอยเฝ้าดูแลที่รักตอนกลางคืนแล้วครับ... ข้อ 97 ฉันบ่นทุกวันที่โรงแรมในปรากไม่มีผลไม้ เขาวิ่งหายไปและกลับมาพร้อมผลไม้โปรดของฉัน เขายื่นผลไม้ให้ฉันพร้อมฉีกยิ้มว่า ลิงไปเก็บผลไม้มาให้แล้วครับ...... ทั้งหมดนี้ ได้ยินเสียงวิจารณ์มาเยอะมากๆจนหูชา บ้างชื่นชม บ้างว่ามีสามีน่ารักจัง บ้างก็สะอิดสะเอียน บ้างบอกว่าสตอ บ้างอ่านแล้วจะอาเจียน บ้างว่าเพ้อ บ้างว่าแผนการขาย บ้างอ่านแล้วถึงกับขว้างหนังสือ (คงจะทนไม่ไหวเพราะอิจฉาหรือเปล่า!) ฯลฯ ดิฉันจึงไม่ขอเพิ่มเติมใดๆอีก ถือเสียว่า เธอกล้าเขียน เธอและสามีผู้สุดแสนวิเศษ ก็ต้องกล้ารับคำวิจารณ์! "คัทลียา" จากคอลัมน์ ของว่างวันอาทิตย์ ไทยรัฐ อันนี้น่ารักกว่า ข้อ 4 ก่อนนอน เขาจะจับมือฉันไปวางที่ไหล่ซ้าย เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ปวดที่สุด ก่อนจะพูดว่า นี่มรึง นวดได้เเล้ว อย่าอยู่เฉยๆ แล้วหลับปุ๋ย... ข้อ 10 เวลาฉันไม่อยู่ เขาจะจัดชุดนอนของเขาวางแผ่บนเตียง ตรงบริเวณที่ฉันนอน ราวกับบอกว่า กลับมาอย่าลืมรีด .. ข้อ 15 เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เขาภูมิใจ ที่สุดในชีวิต เขาตอบว่า มีแกมาเป็นทาสสิวะ... ข้อ 16 เขาซื้อสร้อยคอพร้อมจี้เพชร มาให้อีก 1 เส้น ฉันมองมันด้วยตาละห้อยบอกว่ามันสวยมาก แต่แพนมีเยอะแล้ว เสียดายเงิน เขาตอบว่า ไม่ต้องเสียดายครับ เพชรรัสเซีย ข้อ 22 เมื่อเครื่องทำน้ำร้อนเสีย เขาจะยืนอยู่ข้างๆตลอดเวลาที่ฉันอาบน้ำ ไม่รู้ว่า มาแอบดึงสายดินทิ้ง หรือเช็กให้แน่ใจว่าไม่ใช้น้ำเยอะเกินไปข้อ 32 ตอนเย็น เวลาเขามารับที่ทำงาน ทุกครั้งที่ลิฟต์เปิดเขาจะเตรียมเซอร์ไพรส์หน้าลิฟต์ หากวันใดฉันออกจากออฟฟิศช้าไปสิบนาที เขาเลยต้องทำท่า จะตบ คนอื่นไปซะหลายคน... ข้อ 35 เช้าวันไหนเขาปลุกฉันด้วยเพลงเพราะๆหวานๆไม่สำเร็จ เขาจะเปลี่ยนเป็นเพลงคึกคัก จังหวะเร็วๆ และลงทุนลุกขึ้นมาเตะ จนฉันกลิ้งไปรอบๆห้อง... ข้อ 38 เวลาไปดูหนังที่น่ากลัว เขาจะเอื้อมมือมายัน ให้ฉันไปไกลๆ พร้อมพึมพัมว่า มรึงกลัวเจือกเสียเงินมาดูทำไม สำหรับ "สามีผู้แสนวิเศษ" ในเล่มนี้ ผู้เขียนบอกใน ข้อ 39 ว่า "ณ อายุ 39 เขาเป็นผู้บริหารหนอกจิก เอนเตอร์เทนเมนท์ รับออกงานวัด พร้อมหางเครื่อง เป็นประธานบริษัทให้คำแนะนำด้าน ประหยัดพลังงานตัว โดยใช้เมียทุ่นเเรง เขาทำทุกหน้าที่ด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยมเสมอ" ข้อ 41 ฉันนอนไม่หลับเพราะฝนตกหนักและฟ้าผ่าเสียงดัง เขาตื่นมาหัวเสียรำคาญ ปากพึมพำ โอ๋ กลัวฟ้าผ่าเหมือนหมาที่บ้านเลยจ้ะ แล้วตะแคงจัดท่านอนใหม่ เพื่อให้หัวเขาอยู่ข้างใต้หมอนทั้งหมดพอดี ฉันเลยไม่มีหมอนสักใบ. ข้อ 44 ทุกครั้งที่เราอยู่บ้านคุณแม่ของเขา เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสะดวกสบาย และไม่เกิดอาการโฮมซิค ซึ่งรวมทั้งให้ฉันเก็บกวาดเช็ดถูและปูเตียงในห้องนอนทั้ง12 ห้องในบ้าน... ...ข้อ 51 ช่วงวันทำงาน เขาจะตื่นเต้นเสมอหากมีวันไหนที่เราสามารถทานอาหารกลางวันด้วยกันได้ วันหนึ่งระหว่างรออาหาร อยู่ๆเขาก็ปรบมือ แล้วบอกว่า ดีใจจังเลย นี่ของเหลือจากเมื่อวานซืน จะได้ไม่เหลือทิ้ง กินซะให้หมดนะมรึง พูดจบก็เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจับหัวฉันกดลงในจาน ข้อ 54 หากฉันไม่สบายต้องไปหาหมอ เขาจะพยายามเลื่อนประชุมเพื่อให้ตรงกับเวลานัดหมอ มีครั้งหนึ่งเขาต้องไปด้วย เมื่อหมอบอกว่าอีก 1 อาทิตย์ ฉันก็จะหาย เขาน้ำตาเอ่อ ขึ้นมาทันที เเล้วบอกว่า ใครจะซักผ้าถูบ้านกันล่ะ... ข้อ 62 ดึกแล้ว ฉันค่อยๆปีนขึ้นเตียง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกจนได้ เขาลืมตามองฉันแบบปรือๆแล้วพึมพำ มรึงจะขึ้นเตียงเบาๆ หน่อยได้ไหม คนจะนอน ทำเตียงสั่นอีกหน เจอดีแน่ แล้วหลับต่อ. ข้อ 78 เขาบอกฉันว่า เป้าหมายสูงสุดของเขา คือทำให้ตัวเองมีความสุขทุกวัน... ข้อ 84 คืนไหนฉันหลับยาก เขาจะเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งคิดเองสดๆ โดยพากย์เสียงหมูหมากาไก่ ในทำนอง มันทารุญกับตัวเมียอย่างไร ถ้าไม่ทำตามคำสั่งตัวผู้ ข้อ 85 เมื่อฉันไปนอกนานๆ เขาเอสเอ็มเอสมาบอกว่า ขอให้ที่รักมีแต่ความสบายใจ และประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ผมได้ฝากซื้อของตามที่ลิสท์มานี้ มีกระดาษ เอ 4 ประมาณ 6 แผ่น และบอกว่าเป็นของฝากเพื่อนจะครอบครัวเขา รวมทั้งน้องที่ทำงาน พร้อมเงินสอดมาด้วย 400 บาท บอกว่า ของไม่ครบไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า จะให้พระอาทิตย์ใ พระจันทร์คอยดูแลชีวิตฉันเเทน ... ข้อ 97 ฉันบ่นทุกวันที่โรงแรมในปรากไม่มีผลไม้ เขาวิ่งหายไปและกลับมาพร้อมพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบิน เขายื่นให้ฉันพร้อมฉีกยิ้มว่า มรึงเรื่องมากนัก กลับไปวันนี้เลย....

อ่านแล้วหายเครียดนะ

อ่านคลายเครียดจ้า . . .
อายุยืน
สุรศักดิ์มายืนรอแฟนที่ห้างแห่งหนึ่ง เขารอแฟนนานมากจึงคิดจะไปล้างหน้า หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กวัยรุ่นกำลังนั่งกินช็อกโกแลค ทอฟฟี่ น้ำอัดลม เขาจึงเดินเข้าไปเตือน สุรศักดิ์ : น้อง น้องรู้ไหมว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์ เด็กวัยรุ่น : รู้เพ่ ก็ผมกินประจำ สุรศักดิ์ : อ้าว แล้วน้องไม่เป็นไรหรือ เด็กวัยรุ่น : ปู่ผมอายุ 100 ปี สุรศักดิ์ : ปู่น้องกินของพวกนี้ประจำเหมือนกันเรอะ เด็กวัยรุ่น : ป่าว สุรศักดิ์ : แล้วเอาปู่มาอ้างทำไม เด็กวัยรุ่น : ปู่ผมไม่เคยยุ่งเรื่องชาวบ้าน อายุเลยยืน สุรสักดิ์ : ????????

เรื่องนี้ต้องรอ
ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากผู้เชี่ยวชาญด้านการมีบุตร หญิงชราวัย 65 ปีรายหนึ่งสามารถให้กำเนิดบุตรได้สำเร็จ วงศาคณาญาติที่ทราบข่าว ต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี และต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว และ เมื่อพวกเขาขอดูหน้าทารกน้อย หญิงชราก็ตอบว่า ' ไม่ใช่ตอนนี้' ครู่ใหญ่ผ่านไป บรรดาญาติๆ ก็ขอพบหน้าทารกน้อยอีกครั้ง หญิงชราตอบเหมือนเดิม 'ไม่ใช่ตอนนี้' ในที่สุด บรรดาญาติๆ ก็ถามขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า ก็แล้วเมื่อไหร่พวกเราถึงจะได้เห็นหน้าเจ้าตัวเล็ก บรรดาญาติๆ ถามอีกว่าทำไมเราต้องรอจนกว่าเด็กร้องด้วย คุณแม่วัย 65 ปีตอบ เพราะฉันจำไม่ได้ว่าวางแกไว้ที่ไหน

สัตว์อะไรที่เธอชอบ
คุณครูคุยกับเด็กนักเรียนอนุบาล 1 ระหว่างคอยผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ' ที่บ้านหนูเลี้ยงสัตว์อะไรบ้างคะ' คุณครูถาม ' มีหมาแค่ตัวเดียวค่ะ แต่ข้างบ้านเขาเลี้ยงตั้งหลายอย่างค่ะ มีนก แมว ชะนีก็มีค่ะ' หนูน้อยเล่า ' แล้วหนูชอบอะไรมากที่สุดคะ' ' ชอบนกกับปลาสวยๆ คะ' ' เหรอคะ แล้วคุณพ่อคุณแม่ละคะชอบอะไร' ครูถามต่อ ' คุณพ่อชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบสัตว์อะไรซักอย่าง..' หนูน้อยส่ายหน้าเมื่อพูดถึงคุณพ่อ ' ส่วนคุณแม่.. เห็นคุณพ่อพูดอยู่เรื่อยเลยว่าคุณแม่ชอบแรดค่ะ..'

มีหน้าที่ฟังๆไป
มีชายอยู่ 2 คน นั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ นายดำ:ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังว่ะ นายอยากฟังมั๊ย นายแดง:ฟังก็ฟังวะ นายดำ:มีสามภรรยาคู่หนึ่ง ชอบทะเลาะกัน วันหนึ่งภรรยาให้สามีไปซื้อผงซักฟอกให้ แต่สามี ซื้อน้ำยาล้างจานมา ภรรยาเลยถามว่า ทำไมเอ็งซื้อน้ำยาล้างจานมาวะ สามีตอบว่า มีหน้าที่ซัก ซักไป ต่อมา ภรรยาคิดแก้แค้น ในคืนวันที่สองเลยให้กินข้าวเปล่า ไม่มีกับ สามีถามว่า กับข้าวล่ะ ภรรยาตอบ อย่าเรื่องมาก มีหน้าที่กิน กินไป พอต่อมาวันที่สี่...... นายแดง:เฮ้ยวันที่ 3 ล่ะวะ ไปไหน นายดำ:มีหน้าที่ฟังๆไป

แบงค์ย่อย
ผู้หญิงคนหนึ่งทำกระเป๋าถือหล่นหายในห้างสรรพสินค้า โชคดีที่มีเด็กคนนึงเก็บได้ และเขาก็เอามาคืนเธอ เมื่อเธอเปิดกระเป๋าออกดูหลังจากได้รับแล้ว เธอก็ต้องแปลกใจ ' เอ๊ะ... ชั้นจำได้ว่ามีแบงค์ห้าร้อยในกระเป๋าอยู่ใบนึงนี่นา ทำไมมันกลายเป็นแบงค์ย่อยหมดเลยล่ะ ' ไอ้หนูรีบตอบอย่างรวดเร็ว ' คือว่านะคับ ครั้งที่แล้วผมเก็บกระเป๋าตังค์ได้ เจ้าของเค้าไม่มีแบงค์ย่อย ผมเลยอดรางวัลเลยคับ ' นักเดินทาง 3 คน
นักเดินทาง 3 คน หลงป่าไปเจอเผ่ากินคน วันนั้นเป็นวันเกิดของหัวหน้าเผ่า ท่านหัวหน้าจึงคิดจะทำบุญ จึงสั่งว่า ' วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่พวกเจ้าต้องเข้าป่าไปเก็บผลไม้คนละ 10 ผล ต้องเป็นชนิดเดียวกันใน 10 ผลนั้น ไปได้' ทั้ง 3 คนรีบเข้าป่าไปทันที สักครู่ คนแรกก็กลับมาพร้อมกับ มะม่วง 10 ผล หัวหน้าเผ่าสั่งว่า ' เจ้าจงนำผลไม้นั้นยัดไปในก้นของเจ้าทีละลูกให้ครบ โดยห้ามทำหน้าตา ใดๆทั้งสิ้น มิฉะนั้น จะถูกฆ่าทิ้ง' ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็ทำตามทันที แต่พอถึงลูกที่ 2 ก็เผลอทำหน้าเหยเกออกมา จึงถูกฆ่า ต่อมา ชายคนที่ 2 ก็กลับมาพร้อมเชอร์รี่ 10 ผล รายนี้ถูกสั่งให้ทำแบบเดียวกันก็รีบทำตามทันที
แต่เมื่อถึงลูกที่ 9 ก็เผลอปล่อยก๊ากออกมา จึงถูกฆ่าเช่นกัน บนสวรรค์ ชายคนแรกถามอีกคนว่า ' แกหัวเราะออกมาทำไมวะ ทั้งๆที่ยัดลูกที่ 9 แล้วเชียว' ชายคนที่ 2 ตอบว่า ' ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็ตอนยัดลูกที่ 9 น่ะ ข้าเห็นพวกเราอีกคน อุ้มทุเรียนตั้ง 10 ลูกกลับมา !'

ฟ้องแม่
พอแม่ประคุณกลับจากทำงานถึงบ้าน ลูกชายตัวน้อยก็ฟ้องแม่ทันที ' แม่ แม่ เมื่อกลางวันนี้น่ะ พ่อแอบกลับมาบ้าน แล้วน้าผู้หญิงคนที่อยู่ข้างบ้านเราก็เข้ามาหา พ่อเค้าพาน้าคนนั้นเข้าไปในห้องนอน แล้วน้าคนนั้นก็นอนบนเตียงแล้วพ่อก็ขึ้นไปอยู่บนตัวน้าคนนั้น แล้วพ่อก็..' ' หยุด หยุดพูดลูก' แม่เจ้าประคุณร้องเสียงหลง ' แกอย่าเพิ่งพูดต่อเดี๋ยวรอพ่อแกก่อน จำไว้นะ พอพ่อแกมา แกเล่าให้พ่อแกฟังทุกอย่างอย่างที่แกบอกแม่ตะกี้น่ะ'
แม่เจ้าประคุณรอพ่อตัวแสบด้วยความร้อนรน คิดว่าวันนี้จะต้องเอาเรื่องให้เห็นดำเห็นแดงกันไป พอพ่อกลับจากทำงานเดินเข้าบ้าน แม่เจ้าประคุณปราดเข้ามาจิกแขนจูงเข้ามาในบ้านด้วยความโกรธสุดขีดเรียกลูกชายมาแล้วสั่งลูกด้วยเสียงเกรี้ยวกราด ' เอ้า พ่อแกมาแล้ว แกเล่าเรื่องนั้นให้พ่อแกฟังทุกอย่างเลยน่ะ อย่างที่แกเล่าเมื่อเย็นนี้น่ะ' ' เมื่อกลางวันนี้' เจ้าหนูเริ่มต้นเล่า 'พ่อแอบกลับมาบ้าน แล้วน้าผู้หญิงข้างบ้านก็เข้ามาหา พ่อเค้าพาน้าคนนั้นเข้าไปในห้องนอน แล้วน้าคนนั้นก็นอนบนเตียงพ่อก็ขึ้นไปอยู่บนตัวน้าคนนั้นแล้วพ่อก็ทำกับน้าคนนั้นเหมือนอย่างที่ลุงบ้านโน้นทำกับแม่เมื่อวันก่อนเลยครับ'

เร็วเกินไป
ทันทีที่ได้ข่าวคุณปู่เสียชีวิต เจนนี่ก็รีบบินไปหาคุณย่าเพื่อปลอบใจ พอถามว่าคุณปู่จากไปเพราะอะไร คุณย่าอธิบายว่า ' ปู่แกหัวใจวายระหว่างที่มีเซ็กซ์กับย่าเมื่อเช้าวันอาทิตย์' ถึงจะเห็นใจคุณย่า แต่เจนนี่ก็ยังอดโวยวายไม่ได้ ' โห คุณย่า คุณปู่น่ะ อายุตั้ง 94 นะ คุณย่าน่าจะรู้ว่าไม่ควรให้คุณปู่หักโหมแบบนั้น' ' ไม่ใช่อย่างนั้น' คุณย่าว่า ' ปกติย่ากับปู่มีเซ็กซ์กันแค่ทุกเช้าวันอาทิตย์ ตามจังหวะระฆังโบสถ์ แก๊งหนึ่งเข้า แก๊งหนึ่งออก แค่นั้นแหละ' หลังจากยกมือปาดน้ำตาที่หยดลงมา คุณย่าอธิบายต่อว่า ' ถ้าไม่ใช่เพราะรถขายไอติมบ้านั้น ปู่เอ็งก็คงยังไม่ตายหรอก'

เคล็ดลับการทำสวน
สาวสวยนางหนึ่งเธอชอบทำสวนครัวมาก เธอเห็นผักสวนครัวของคุณลุงข้างบ้านเจริญงอกงาม ผิดปกติ ลูกมะเขือเทศของลุงลูกใหญ่และสีแดงสด เธอจึงไปถามเคล็ดลับจากคุณลุง ' เคล็ดลับไม่มีอะไรมากหรอกอีหนูะ แค่ทุกเช้าลุงจะแก้ผ้าเดินไปมาในสวนของลุง ลูกมะเขือเทศ มันก็จะอายจนลูกแดงปลั่ง เอง' สองสัปดาห์ต่อมาคุณลุงก็มาชมสวนของหญิงสาว ' เป็นไงบ้างหนู มะเขือเทศเป็นสีแดงสดบ้างไหม' ' ไม่เลยค่ะคุณลุง' หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ' แต่คุณลุงมาดูขนาดของแตงกวาในสวนของหนูสิคะ'