Friday, March 6, 2009

ยา...มหัศจรรย์สำหรับคุณ

ช่วยส่งต่อก็ได้บุญแล้ว มีญาติที่เป็นเองแล้วคุณจะเข้าใจ! สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ ' ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ' เช่น
1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป .
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต '
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้ มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะอาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
12. มะเร็งทรวงอก - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน วิธีรักษา *** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข

หอศิลปแห่งกรุงเทพ ปทุมวัน





Have You Ever Been There ?

Thursday, March 5, 2009

คู่มือเขียนบล๊อก

คู่มือเขียนบล๊อก ดีมากๆ
ข้อมูลจาก http://pamame.com/index.php/2008/09/27/%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%a5%e0%b9%8a%e0%b8%ad%e0%b8%84/ ลองคลิกดูนะ
By Peungae

เปเปอร์มาเช่ เก้าอี้เพื่อน้องพิการ


พึ่งรู้นะค่ะ ก็เลยอยากเผยแพร่ให้ทราบโดยทั่วกันเผื่อท่านอื่นๆ ยังไม่รู้ เพราะมีประโยชน์มากนะค่ะ
ขอฝากด้วยนะค่ะ กระจายความน่ารู้สิ่งนี้ให้ผู้อื่นด้วยนะค่า


เนื่องด้วย สถาบันราชานุกูลhttp://www.rajanukul.com/ ได้จัดทำโครงการ ''เปเปอร์มาเช่ เก้าอี้เพื่อน้องพิการ'' กิจกรรมสร้างเก้าอี้จากกระดาษและลังกระดาษ สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและมีปัญหาพิการซ้ำซ้อนที่ไม่สามารถนั่งเองได้ รวมถึงการจัดอบรมพ่อแม่ ผู้ปกครอง หน่วยงานและอาสาสมัคร สำหรับผลิตเครื่องมือช่วยหลือเด็กพิการจากวัสดุเหลือใช้ เพื่อลดต้นทุนอุปกรณ์ที่มีราคาสูง รวมถึงแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่ขาดทุนทรัพย์อีกทางหนึ่ง
แต่เนื่องจากทางโครงการ เปเปอร์มาเช่ เก้าอี้เพื่อน้องพิการ ยังขาดแคลนวัสดุที่จะนำมาประกอบเป็นเก้าอี้เปเปอร์มาเช่ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงขอความความร่วมมือสำหรับท่านใดที่ประสงค์ร่วมบริจาคกระดาษสี สามารถติดต่อได้ที่ ตึกวิจัย ชั้น 2 สถาบันราชานุกูล ถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 หรือ
โทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2245 4601-5 ต่อ 4906 , 5801 และโทร. 0 2640 2036
ลงประกาศเมื่อวันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ข้อมูลจาก http://guideubon.com/news/view.php?t=107&s_id=19&d_id=19
By Peungae

เรื่องน่ารู้ของคนช่างดูช่างเก็บมาฝาก










ช่อง7 รายการคลับ7
ไปมุมไบ ที่อินเดีย พระที่นั่นละซึ่งกิเลสทุกอย่าง นิกายเศวตัมพร นุ่งขาวห่มขาว ไม่อาบน้ำ ผม และหนวดเคราใช้วิธีการดึงหรือถอน สีหน้าและอารมณ์ห้ามบ่งบอกถึงความเจ็บ ทุกอย่างต้องเป็นปกติ ไม่น่งห่มเสื้อผ้า คนที่นั่นที่พบเห็นจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเห็นพระเดินออกมาจะเข้าไปจับมือแสดงถึงความเคารพ ฉันอาหารเพียง 1 มื้อเท่านั้น และไม่สามารถกินอย่างอื่นได้อีก เรียกศาสนานี้ว่า ศาสนาเชน ซึ่งเป็นศาสนาที่สอนเหมือนศาสนาพุทธ แต่การดำเนินชีวิตแตกต่างกัน คนที่จะมาเป็นพระในศาสนาเชนได้นั้น มิได้เป็นกันง่ายเหมือนบ้านเราเพราะจะต้องละทุกอย่างได้จริง และที่นั่นมีพระแบบนี้ไม่กี่องค์ ใครที่บวชเป็นพระในศาสนาเชนได้ เค้าถือว่าเป็นคนที่สุดยอดแล้ว หาไปเที่ยวซึ่งหลายคนน่าจะเคยเห็นแล้วพิธีกรบอกว่าที่นี้ธุรกิจซักผ้ามีคนงานทั้งหมด800 คน มีคนผลัดเว้นกันทำ ที่แปลกแต่ดีคือราวตากผ้าที่เห็นไม่มีส่วนไหนเลยที่ถูกยึดกับพื้น แต่จะมัดโดยใช้วิธีชาวบ้านยึดกันและกันเหมือนพึ่งพากัน แถมไม่ใช่ไม้หนีบด้วย สุดยอดค่ะ
ศาสนาเชน ศาสนาเชน เรียกอีกอย่างว่า ไชนะ หรือ ชินะ แปลว่า ผู้ชนะ เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย อนุมาลราวกาลยุคเดียวกับพุทธสมัย ซึ่งมีหลักฐานว่า พระสมนโคดมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ได้เสด็จไปศึกษาในสำนักเชนมีศาสดาคือพระมหาวีระพระมีการตัดกิเลสคือไม่ต้องนุ่งผ้า คือ นิครนถ์ แปลว่าไม่มีกิเลสผูกรัด ศาสนานี้ไม่นับถือพระเจ้าคล้ายกับศาสนาพุทธ
ข้อปฏิบัติของผู้ครองเรือน 11 ข้อ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการลักฉ่อ สันโดษในลูกเมียตน มีความปรารถนาพอสมควร เว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นอาหาร อยู่ในเขตของตนตามกำหนด พอดีในการบริโภค เป็นคนตรง บำเพ็ญพรตประพฤติวัตรในคราวเทศกาล รักษาอุโบสถ บริบูรณ์ด้วยปฏิสันถารต่ออาคัข้อปฏิบัติของบรรพชิต
ข้อปฏิบัติของบรรพชิต 1.ห้ามประกอบเมถุนธรรม 2.ห้ามเรียกสิ่งต่างๆว่าเป็นของตนเอง 3.กินอาหารเที่ยงแล้วได้ แต่ห้ามกินในราตรี
รัตนตรัยเชน สัมมากัมมันต ความประพฤติชอบ // สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ //ความเห็นชม
เมื่อพระมหาวีระสิ้นไปแล้วศาสนิกก็แตกแยกกันปฏิบัติหลักธรรม จากหลักธรรมที่เรียบง่ายก็กลาย เป็น ยุ่งเหยิง พ.ศ. 200
ก็แตกเป็น 2 นิกาย คือ 1.นิกายทิคัมพร นุ่งลมห่มฟ้า 2.นิกายเศวตัมพร นุ่งขาวห่มขาว
คัมภีร์ทางศาสนา คือ คัมภีร์อาคมะ หรือ อาคม
ข้อมูลที่หาได้ จาก http://blog.spu.ac.th/Apenan/2008/07/15/entry-3
มาแบ่งปันความรู้ เพราะหลายคนอาจไม่รู้มาก่อน และอาจเข้าใจผิด
พิธีกรรายการ2ช่องบอกไว้ วันที่ 3 มีค 52 ช่อง3
คนที่ระลึกชาติ ครูบัวไข รายการตี10 ต.บ้านเขาพระ จ.พิจิตร
กล่าวว่า มีข้อความที่สามารถแปลความหมายได้ มีให้เลือก 2 ทาง เพราะตอนที่เสียชีวิตก็มีให้เลือก2ทางคือทางรกและทางเรียบ
แต่สำหรับคุณ 2ทางให้เลือกคือ
1. ทำในสิ่งที่ดี ถูกต้อง
2. ทำในสิ่งที่ผิด แค่คิดก็ผิดแล้ว
คำกล่าวสุดท้าย กล่าวไว้ว่า คนที่ทำบาปมิต้องรอถึงชาติหน้า ท่านจะได้รับกรรมที่ก่อในชาตินี้
สามารถดูได้จากบทสัมภาษณ์จริงในรายการ
http://video.showded.com/watch?vdoId=55446
By Peungae

Saturday, February 28, 2009

Ted Talk By Go Training Magazine







Posted by Picasa

เมื่อคืนนอนดึกทำโน้นทำนี้แถมเป็นหวัดอีก ตื่นมาตอนเช้าของวันนี้วันที่ 27 กพ 52 ประมาณ 9.00 น.ซึ่งตอน 7.30 แฟนได้โทรมาหาทุกเช้าก่อนเข้าทำงานอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นผลเพราะด้วยของฤทธิ์ยา เมื่อคืนกินยาแอทติเฟดที่คนส่วนใหญ่รู้จักเพราะยาชนิดนี้ลดน้ำมูกชงัก และทำให้หลับดี สบาย และไม่มีน้ำมูกในวันรุ่งขึ้น รีบอาบน้ำแต่งตัว ให้อาหารแก่น้องดรากอนเพราะกลัวว่าเลยเวลามันจะไม่กินอาหารแต่จะกินตัวเองแทน สุนัขร๊อตไวเลอร์หน้าตาดีชื่อจริง ดรากอน แปลว่ามังกร พอดีช่วงนั้นเรื่องแม่โขง ที่คุณพีท ทองเจือเล่น กำลังสนุก แถมมีชื่อเป็นญี่ปุนด้วยคือ ดากิโน๊ะ ช่วงนั้นละครญี่ปุ่นดังอีก อินเทรนซะเลย เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางไปทำงาน ซึ่งใช้เวลา 10-15 นาทีก็ถึง จนลืมเปิดกรงให้น้องสุนัขออกมาเที่ยวเลยค่ะ พอถึงออฟฟิคก็จะ 10.00 น.แล้ว มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่พร้อมทำงาน คืออะไรรู้มั้ยค่ะ นั่นคือดวงตานี้แหละค่ะ มันยังหลับอยู่เลย แต่ก็ต้องตื่นเพราะวันนี้ต้องเอาหนังสือกล่องใหญ่ 2 กล่องไปส่งให้ กับผู้เขียนหนังสือเรื่องมองผ่านจาน ซึ่งเป็นหนังสือที่สุดยอด ให้ความรู้ถึงแม้ว่าอาจาร์ยจะไม่ใช่มืออาชีพแต่ถือว่าให้ความรู้เยอะมากมาย ก่อนหน้านี้เคยได้รับเมลจากอาจาร์ยขวัญฤดีว่าให้ช่วยส่งอีเมลงาน Ted Talk ของ Go Training ให้หน่อย อ่ะน่ะ ก็ส่งไป และตอนอ่านเมลดูก็รู้สึกว่าอยากไปร่วมฟังด้วยค่ะ เพราะมีแต่บุคคลที่น่าฟังและนำแนวคิดมาใช้ทั้งนั้นเลย ตอนเช้าว่าอย่างที่บอกว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไรแต่ก็แต่งตัวใส่เสื้อทีมคือเรียกว่าพร้อมแล้ว แต่มาถึงบอกอาจาร์ยขวัญฤดีว่าพร้องแล้วแต่ไม่ไปได้ไหมเพราะตายังไม่ตื่นเลยค่ะ อาจาร์ยบอกว่าเห็นว่าอาจาร์ยธัญญามีอะไรให้ทำในงาน ก็เลยคิดว่าคงต้องไปแล้วล่ะ และเมื่อมาถึงงานในใจบอกว่าถ้าไม่มาเสียดายแย่เลย เพราะสุดยอดทุกคน ขออภัยค่ะ
ท่านที่ 1 ไม่ได้เข้ามาฟัง แต่เสียดายค่ะที่ไม่ได้เข้าพอดีเก็บรายละเอียดอยู่หน้างานน่ะค่ะ แต่ก็ได้ถามนะค่ะว่าท่านแรกถือได้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร และพูดเกี่ยวกับเรื่องลูกโซ่
ท่านที่ 2 อ.เกรียงศักดิ์ ที่สอนเกี่ยวกับเรื่อง Coaching จิงค่ะที่อาจาร์ยสอนเห็นด้วยค่ะ
ที่จับได้คือ 1. คนเรามักไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2. สอนยังไงก็ไม่เวริค์ 3. Coach คนต่างชาติ 4. ผู้บริหารเก่งแต่มีลูกน้องไม่เก่ง 5. คนที่เข้ามาใหม่มาเป็นผู้บริหาร ไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมขององค์กร 6. อยากเปลี่ยนใครสักคนแต่เปลี่ยนไม่ได้เพราะตัวเค้าไม่อยากเปลี่ยน 7. Coach ไม่ได้ ช่วยไม่ได้ปล่อยไปตามกรรมหรือไปที่ชอบที่ชอบ 8. รับFeedback ไม่ได้ ไม่มีกระจก 9. Coach ให้ออกจากงานไปเลยนั้นเป็นสิ่งที่ดี 10. Coach ส่วนใหญ่แล้วจะทำกับคนติดเพดานไม่ได้ เพราะเป็นได้แค่นี้เป็นมากกว่านี้ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับศักยภาพ เห็นด้วยค่ะ
ท่านที่ 3 คุณหนูดี พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ทันทีและไม่คาดฝันก็มีหรือไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งหลายคนก็เป็นหรือเคยเกิดกับตนเอง ฟังก็รู้บ้างค่ะ ที่ไม่รู้ก็เก็บมาเป็นความรู้ ที่จับได้คือ การที่คนเรานอนก่อน 24.00 น. จะมีสารที่ทำให้เรามีความสุขมาก อมิดดาหลา/อมิดดา Hijack ต้องศึกษาเพิ่มค่ะ เพราะการทำซ้ำจะเกิดผลดีกับตัวเราเอง
ท่านที่ 4. คุณสมศักดิ์ ชลาชล ช่างตัดผมมือ 1 ของประเทศไทย และมีหลายสาขา คุณสมศักดิ์เป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบสร้างสรรค์ผลงานตลอดเวลา ชอบพัฒนาการตัดผมไทยซึ่งเป็นอาชีพของคุณสมศกดิ์ คุณสมศักดิ์บอกว่าการทำซ้ำๆ จะเกิดความสร้างสรรค์ จนมีตอนหนึ่งที่เป็นวิธีที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จในซอยทองหล่อ ร้านชลาชลอยู่ข้างๆกับธนาคารกรุงเทพ วันหนึ่งอยากเช็คเรทติ้ง
ในซอยจะมีรถสองแถวคุณสมศักดิ์เลยไปบอกว่าจะไปร้านชลาชล คนขับตอบว่าไม่รู้จัก แค่นั่นแหละคุณสมศักดิ์เลยเล่ายาวเลย จนเดี๋ยวนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก อีกเรื่องหนึ่งที่ฮา คือคำว่า Hi - So ที่เรารู้จักและเข้าใจ คุณสมศักดิ์พูดว่าชั้นนี้แหละ Hi - So ไม่ปฎิเสธแล้วไงล่ะดังตูม คนรู้จักทั่วนี้คือวิธีสร้างแบรนแบบหนึ่ง ถามต่อไปอีกว่าทำใมเวลาไปสมัครงานไม่มีใครเขียนลงไปที่ช่องความสามารถพิเศษว่า ผมสามารถหุงข้าวโดยเม็ดข้าวเรียงตัวสวย มีแต่เขียนว่าทำ Word Excel เป็น ดิฉันคิดว่าน่าจะมีคนอยากเขียนนะค่ะแต่ที่ไม่เขียนเนี่ยเพี่อคนไทยรับไม่ได้ ก็เหมือนเวลาไปสมัครงานนั่นแหละค่ะ ถ้าเป็นจุฬา ธรรมศาสตร์ ภาษีดีกว่าเยอะ แต่ถ้าเป็นเอกชน ก็ว่าไปตามเรื่อง แถมน่าน้อยเนื้อต่ำใจกับพวกที่จบราชภัก อันนี้สมัครมาทีไรลงถังขยะทุกที จิงๆแล้วคนไทยหรือผู้ใหญ่ก็ชอบมองอะไรแบบเดิมๆ นะค่ะ โดยไม่คำนึงว่าจบที่ไหนถ้ามีความขยัน รักในหน้าที่ มีความสามารถ ก็น่าจะรับไม่เคยให้โอกาสเลย มีเพื่อนเคยทำงานที่บริษัททัวร์ ได้เงินเดือน 12000 เพราะพึ่งเข้าไปทำงานได้ 2 เดือน แต่จบม.เอกชน แถมทำได้ทุกอย่างค่ะเพราะเคยทำงานจากที่อื่นมาแล้ว 2 ปี ปรากฎว่าเจ้าของเป็นประเภทไม่ให้โอกาส รับเด็กจุฬาเข้ามาทำงาน แถมไม่เคยผ่านงานด้านนี้มา สิ่งที่เค้าทำได้ทุกวันคือแต่งตัวสวย นั่งแต่หน้าในเวลาทำงาน ส่วนงานที่ให้ทำก็ทำไม่เป็ เพื่อนดิฉันยังต้องสอนด้วย รู้ไหมค่ะ ว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ ได้ 15000 ซึ่งเยอะกว่าอีก ดูสิค่ะ ทำเป็นทุกอย่างทำงานได้เงินเดือนน้อยกว่าคนที่ทำงานไม่เป็นอีก อันนี้ไม่ช่ายเรื่องเล่านะคะเพราะดิฉันบุกไปดูหน้าเจ้านายคนนี้เลย บางทีองค์กร ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจก็แปลกนะค่ะ ชอบที่จะรับทำลักษณะแบบนี้มากกว่า ส่วนคำว่าเทรน ไม่ได้เกิดจากความชอบมันอยู่ที่ว่าเทรนมันเข้าถึงคนกลุ่มไหนมากกว่า คุณสมศักดิ์ฝากไว้ว่า ตำราเป็นสิ่งที่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด ถ้าไม่ลงมือทำ / รางวัลที่ได้มา คือดอกเบี้ยจากการทำซ้ำ / อย่าตกตะกอนแค่ความคิด แต่ต้องตกตะกอนที่ประสบการณ์ /
สุดท้ายฝากไว้ว่า ขอให้ทำซ้ำๆเพราะสร้างท่านให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่ท่านชอบในอนาคต
ท่านที่ 5 อ.ไชยยศ มาพูดเรื่องบล็อกแนะนำว่าน่าจะควรทำเพราะมันไม่ยากอย่างที่เราคิด เวลามีบทความอะไรดีก็จะนำมาตีบทแล้วแสดงความคิดเห็น อ่าจร์ยแนะนะว่า ตอนที่สมัครใหม่ๆ ยุ่งยากแถมเวลาหมดเร็วมากถ้ามั่วแต่ชักช้าก็อดสมัครไป จิงค่ะอาจาร์ยเพราะตอนที่ดิฉันเริ่งหัดใช้บล๊อก ก็เสริชหาว่าอะไรดี เห็น Oknation เหมือนกันแต่สมัครยากมาก ตนเองใช้Gmail อยู่แล้วด้วยเลยหันไปใช้ Blogspot.com ซึ่งปัจจบันดฉันก็มี Blog เป็นของตนเองนะค่ะ www.peungae.blogspot.com เอาเป็นว่าขอข้ามเว็บบล๊อกมาโพต์ด้วยคนค่ะ แต่อาจาร์ยเก่งนะค่ะ สามารถทำได้ทุกวัน นี่แหละค่ะนักเว็บบล็อกตัวจริง บล๊อกหลายที่ที่อาจาร์ยแนะนำไม่พลาดค่ะแต่ขอเวลาก่อน ที่ดิฉันทำ Blog ก็เกิดจากการอยากรู้อยากเห็นอ่ะค่ะ และส่วนใหญ่ดิฉันก็เขียนหลากหลายข้อมูลค่ะ แต่ดืฉันไม่มีใครเช็คเรทติ้งให้สิค่ะ แย่จัง.....55555
ท่านที่ 6 อ.ธัญญา พูดเรื่องสมอง และMind Map แถมมีหมวกมหัศจรรย์รูปสมองด้วยค่ะ
ท่านที่ 7 อาจาร์ยเฉลิมพล ปุณโณทก นักรบนวัตกรรม ขึ้นมาสไลด์อันแรกว่า รักชาติ อยากรวย แล้วก็โชว์แบงค์แวถามว่าเห็นอะไรในแบงค์ แต่ที่ประทับใจคือที่อาจาร์ยพูดว่า เพื่อนอาจาร์ยเป็นหมออยู่บุรีรีมย์ อีกคนเป็นทหารอยู่ชายแดน ซึ่งตอนนั้นอาจาร์ยทำงานอยู่ต่างประเทศ แต่กลับคิดว่าทำไมเพื่อนถึงรักชาติ และตอบแทนพระคุณแผ่นดิน แล้วตนอาจาร์ยมาทำอะไรที่นี้ เหมือนละครเลยอาจาร์ยเลยกลับมาเมืองไทย และคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้แผ่นดินไทย ชอบมากที่บอกว่า ไม่เคยมีใครสอนว่า อยากมีลูกน้องเป็นฝรั่ง ส่วนใหญ่พูดว่าอยากทำงานกับฝรั่งเพื่อจะได้ฝึกภาษาอังกฤษ จิงค่ะ ดิฉันเองยังไม่เคยคิดเลยค่ะ อาจาร์ยจุดประกายอีกแล้ว แถมบอกว่าคนไทยถูกสอนให้ตามโลกตะวันตก เรื่งกันใหม่เถอะปลูกฝังให้คนไทยรักชาติ ไม่ทะเลาะกัน ให้มีจิตสำนึกที่ดี

ขอขอบคุณทุกท่านที่มาพูดในวันนี้ และขอขอบคุณผุ้จัดงาน ทุกท่าน จาก นิตยสาร Go Training ค่ะ วันนี้หลังจากที่กลับจากงานถึงบ้านเวลาตี1.30 ไฟแรงค่ะมานั่งเขียนบล๊อก ถึง ตี 3.15 แล้วค่ะ ไปนอนก่อนนะค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

ปล.ขอชื่นชมแม่บ้านท่านหนึ่งค่ะ คือว่าอาจาร์ยธัญญา-ขวัญฤดี ผลอนันต์ไปจอดรถที่จามจุรีแสคว และไปรับประทานอาหารที่ ร้านเสวย ดิฉันพบกับความประทับใจของแม่บ้านท่านหนึ่งค่ะ เวลาคนเดินเข้ามาพี่เค้าจะพูดว่าเชิญค่ะ ถ้าห้องไม่ว่างพี่ก็จะพูดอีก ว่ารอสักครู่นะค่ะ พอพี่เค้าเห็นใครกำลังล้างมืออยู่ก็จะนำทิชชูมาให้ค่ะ ด้วยความตกใจไม่เคยเห็นเลยบอกว่าขอบคุณค่ะ พอใช้เสร็จก็ได้ยินพี่เค้าพูดอีกว่าถังขยะอยู้ด้านนี้นะค่ะ โอ้โฮ.
.....ประทับใจค่ะ เลยไปถามพี่เค้าว่าเป็นบริการของทางบริษัทหรือว่าคิดเองทำเอง พี่เค้าบอกว่าทำเองค่ะ เลยขอถ่ายรูปไว้แล้วบอกว่าจะเอามาลงบล็อกเห็นไหมค่ะว่าการที่เราจะทำอะไรสักอย่างมันอยู่ที่ใจและตัวเราเองค่ะ ถ้าเราคิดจะทำมันเราก็ทำได้เสมอ ใครที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หรือไม่คิดจะเปลี่ยน ลองดูนะค่ะ ไม่คิดทำแต่วันนี้....ระวังจะอายพี่คนนี้เค้านะค่ะ พี่แม่บ้านคนนี้คือตัวอย่างเลยค่ะ สุดยอด
ผู้เขียนคือคนที่ถ่ายรูปให้นะค่ะ ตอนมอบของที่ระลึกจากอาจาร์ยธัญญา -ขวัญฤดี ผลอนันต์ หนังสือใช้หัวเล่นค่ะ
By Peungae

Sunday, February 22, 2009

บทความภาษาไทย : Tony Buzan










ท่านใดสนใจกรุณาติดต่อ
คุณจุไรรัตน์ (กุ้ง) 089-8988096
คุณชลลพรรณ (ไก่) 089-4419593
Marketing
or http://www.peungae.blogspot.com/


ฝ่าวิกฤติด้วยเครื่องมือและความคิดใหม่ๆใช้สมองอย่างชาญฉลาดเพื่อความอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง
Tony Buzan คือผู้ประสิทธิ์ประสาท Mind Maps® เครื่องมือในการคิดที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค ถึงขนาดที่บิล เกตส์ ประธาน ไมโครซอฟต์ยอมรับไว้ในบทความเรื่อง "เส้นทางข้างหน้า Mind-Mappers จะนำประชาธิปไตยด้านข้อมูลข่าวสารให้ก้าวข้ามไปอีกขั้นได้อย่างไร" หนังสือพิมพ์ The Times of London ก็ยังทำนายไว้ว่า โทนี บูซาน "ส่งผลสะเทือนวงการสมอง เฉกเช่นที่ Stephen Hawking เคยสั่นสะเทือนวงการจักรวาลมาแล้ว"

โทนี บูซาน ได้อุทิศเวลากว่าสามสิบปีบากบั่นมุ่งมั่นที่จะมอบเครื่องมือนี้ให้กับโลกของเรา เทคนิคของเขาได้นำไปใช้เกือบจะทุกบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 และใช้ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก นิตยสาร Forbes เองก็ระบุว่า โทนี บูซาน "ชี้ทางให้ผู้บริหารบริษัทพบทางลัดเข้าสู่พลังความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้"
โทนี บูซาน เป็นนักเขียน วิทยากรและที่ปรึกษาระดับโลกที่ทำงานให้กับรัฐบาล บริษัทชั้นนำ มหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ ในเรื่องสมอง ความคิดสร้างสรรค์และทักษะในการคิด หนังสือเรื่อง "ใช้หัวคิด" และหนังสือ "ชุดใช้หัว" ของโทนี บูซาน ทำให้เขาติดอันดับ "นักเขียนยอดขายสูงสุดระดับนานาชาติของสำนักพิมพ์ BBC หนังสือทั้งหมดที่โทนีเขียนจนถึงปัจจุบันสูงถึง 98 เล่ม มีจำหน่ายทั่วโลก 150 กว่าประเทศ และได้รับการแปลไปแล้ว 30 ภาษา เฉพาะฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด20 เล่ม โทนี บูซาน ยังรับหน้าที่ที่ปรึกษาให้กับโค้ชและนักกีฬาโอลิมปิค รวมทั้งทีมแข่งเรือของอังกฤษอีกด้วย ทางด้านสังคม โทนีเป็นผู้ก่อตั้ง Brain Trust Charity และ Use Your Head Brain Clubs และเป็นประธาน Mind Sports Council เป็นผู้ก่อตั้ง World Memory Championship
ในการประชุมประจำปีของ 14th Annual International Conference on Creativity and Innovation โทนีได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award ในฐานะผู้ที่ได้อุทิศชีวิตให้กับดาวนพเคราะห์ดวงนี้ในด้านความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและความคิด
โทนี บูซาน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนาและฝึกสมอง มีเครื่องมือและเทคนิคให้เราใช้ต่อกรกับความท้าทายในโลกปัจจุบัน การสัมมนาครั้งล่าสุดของเขาในครั้งนี้ เขาจะเผยภาพของยุคใหม่ที่เรากำลังบ่ายหน้าไป และอธิบายว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จัดได้ว่าเป็นการสัมมนาที่สนองตอบกับผู้เข้าร่วมและนำไปใช้งานได้จริง โทนีจะช่วยให้คุณปลุกทักษะของสมองที่คุณมีอยู่แล้วและปลดปล่อยอัจฉริยภาพของคุณออกมา รายการข้างล่างนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำเสนอในการสัมมนาครั้งนี้
เราผิดตรงไหน จึงทำให้ระบบของโลกปัจจุบันมาถึงจุดที่แทบจะล้มละลาย
ทำอย่างไรฉันถึงจะอยู่รอดในโลกใหม่ - ในฐานะสมาชิกของสังคมคนหนึ่งและในฐานะบุคลากรในองค์การ
ฉันจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง จนสามารถบรรลุถึงความสำเร็จอย่างแท้จริงได้อย่างไร

โทนี บูซาน จะแนะนำเทคนิคการใช้สมองอย่างชาญฉลาด อย่างเต็มขีดความสามารถอันมหาศาลของมัน เพื่อให้บรรลุความสำเร็จทั้งในระดับส่วนตัวและบริษัท ดังนั้น จึงเตรียมตัวเตรียมใจอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงร่างกายและจิตใจของคุณ และนำไปใช้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันให้เป็นโอกาสที่ดีของคุณ


หัวข้อโดยสังเขป
ขอต้อนรับสู่ยุคแห่งปัญญา
ภาพรวม
การปฏิวัติของสมอง
วิกฤติโลก - การล้มละลายทางปัญญา
การจัดการกับผู้จัดการความรู้


ปราการแห่งความสามารถส่วนบุคคล - สมอง
วัดความสามารถของสมองของคุณ
แนวคิดเรื่องการคิดเชื่อมโยง
พลังของการคิดเป็นรัศมี
พื้นฐานของความจำ : การเชื่อมโยงและจินตนาการ
ความสามารถของสมอง : พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการคิดเชิงกลยุทธ์

การควบคุมดูแลทุนทางปัญญาในองค์การ
เปรียบวัดทุนสมองของบริษัท
เพิ่มปริมาณความสามารถของสมอง ไม่ต้องเพิ่มจำนวนของสมอง
พัฒนาความเป็นผู้นำทางความคิด
ภาวะผู้นำ 7 ประการ
อ้าแขนรับและการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง
สามจังหวะก้าวที่นำไปสู่ความสำเร็จของบริษัท - ประสิทธิภาพ ความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรม

ประยุกต์ใช้สุดยอดเครื่องมือในการคิดเพื่อประโยชน์ส่วนตนและบริษัท : พลังของ Mind Maps®
แนะนำ Mind Map : ภาพสะท้อนของความคิดของเรา
กฎของการเขียน Mind Map
Mind Map ในงาน : ประยุกต์ใช้ในการสร้างภาพ วางแผนเชิงกลยุทธ์ ประชุม จดบันทึก นำเสนอ แก้ปัญหาและระดมความคิด
Mind Map ในชีวิตประจำวัน : ประยุกต์ใช้กับเป้าหมายในชีวิต วางแผนการเงิน ศึกษาต่อ พักร้อนและตัดสินใจ
ฝึกปฏิบัติเขียน Mind Map

สูตรความสำเร็จของคุณ
ความคิดของคุณมีผลต่อเนื้อหาและโครงสร้างสมองของคุณอย่างไร
สูตรแห่งความสำเร็จ TEFCAS ลกปตสป (ลูกไปตีปูสี)
คิดเชิงลบ - วิธีกำหลาบในตัวคุณเองและคนรอบ ๆ คุณ
คิดเชิงบวก - พัฒนาในตัวคุณเองและคนรอบ ๆ คุณ
ติดกับความคิด หลีกเลี่ยงและหลุดออกมาได้อย่างไร
อายุยิ่งมากขึ้น ความจำและความคิดอ่านยิ่งดีขึ้น !
รักษาให้สมองดีไปตลอดอายุขัยได้อย่างไร
สถานที่ :
โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด, ถนนรัชดาภิเษก ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินห้วยขวาง

ประเทศไทย, 29 เมษายน 2552 (พุธ) 9.00 - 17.00 น.

Saturday, January 17, 2009

จัดออฟฟิศให้ "คนเป็นศูนย์กลาง

จากประสบการณ์ที่ผมบริหารงานในฐานะผู้นำองค์กรหลายแห่ง ผมได้รับข้อคิดอย่างหนึ่งว่า นอกจากองค์กรต้องคิด "จัดหาคนให้เหมาะกับงาน" (put the right man in the right job) แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องคิดควบคู่กันไปคือ "จัดที่ทางให้เหมาะกับคน" (design the right workplace for the right person) ด้วยเหตุผลที่ว่า แม้คนที่มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถในตำแหน่งหน้าที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ แต่หากสภาพแวดล้อมการทำงานไม่เอื้อต่อการทำงาน ย่อมส่งผลลดทอนศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเขาไปได้อย่างน่าเสียดาย
ผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรจำนวนไม่น้อย อาจไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญต่อการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม สอดคล้องกับคนทำงานมากนัก เพราะอาจไม่ได้ตระหนักหรือคิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้ว สภาพแวดล้อมในที่ทำงานสามารถส่งอิทธิพลทั้งในมุมบวกและมุมลบได้อย่างมากทีเดียว
การจัดโต๊ะทำงานเหมือนกันหมดทุกแผนกในองค์กร โดยไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดถึงวิธีการทำงานของแต่ละฝ่าย อาจเท่ากับเป็นการละเลยคุณภาพการทำงานของบางฝ่ายไปก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ คิดวางแผน คิดแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งต้องใช้การทำงานเป็นทีม การจัดโต๊ะในลักษณะนั้นอาจทำให้การทำงานไม่สะดวก พนักงานต้องหันกลับไปกลับมาเสมอ การจัดโต๊ะให้หันหน้าเข้าหากัน หรือจัดโต๊ะห่างๆ กัน ห้องหนึ่งมีจำนวนคนไม่มากเกินไป ตกแต่งห้องอย่างดูมีจินตนาการ อาจมีภาพต่างๆ ที่ช่วยเขี่ยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ย่อมช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
สำนักงานบางแห่งต้องการประหยัดต้นทุน จึงกำหนดเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ให้เปิดพัดลม และเปิดหน้าต่างระบายอากาศในตอนเช้าแทน เพราะคิดว่าอากาศภายนอกจะยังเย็นสบาย แต่นโยบายเช่นนี้ อาจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพราะหากอากาศภายนอกร้อนอบอ้าว อากาศภายในก็อบอ้าว ย่อมทำให้คนทำงานเกิดความอึดอัด อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แทนที่จะประหยัดต้นทุนกลับกลายเป็นต้องเสียต้นทุนเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับผมในฐานะผู้บริหารองค์กรหลายแห่ง ผมจะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะตระหนักว่าสภาพแวดล้อมขององค์กร มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของทีมงานทุกคนไม่มากก็น้อย การจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มีความเหมาะสมกับลักษณะขององค์กร จะมีส่วนช่วยทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ ทั้งในเชิงขับเคลื่อนไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ การขยายศักยภาพพนักงานแต่ละคนในการทำงาน และการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันขององค์กร ฯลฯ ดังนั้น ในองค์กรที่ผมมีส่วนบริหาร ผมจะพยายามจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม โดยยึดหลัก "คนทำงานเป็นศูนย์กลาง" ให้มากที่สุด ในการจัดการสภาพแวดล้อมขององค์กร จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ โดยผมจะให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบ โดยพิจารณาและให้ความสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบเหล่านี้ อาทิ
สอดคล้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร
องค์กรจะต้องสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กร ควรจัดสภาพแวดล้อมที่ปรากฏภายนอกให้สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อและพนักงานทุกคนตระหนัก
ในตัวตนขององค์กรร่วมกัน สำหรับองค์กรที่ผมบริหารอยู่นั้น มีสองลักษณะ ลักษณะแรกเป็นองค์กรเชิงธุรกิจ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโปรแกรม/หนังสือคอมพิวเตอร์และบริการด้านการท่องเที่ยว การจัดสภาพแวดล้อมในองค์กรจึงเน้นความทันสมัย ตั้งแต่ อาคารสำนักงาน สถานที่ต้อนรับ ห้องทำงานในแผนกต่างๆ ฯลฯ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเป็นองค์กรที่มีความทันสมัยในนวัตกรรมและเทคโนโลยี เมื่อลูกค้าเข้ามาติดต่อในสำนักงานจะเกิดความประทับใจในองค์กร ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และการบริการ และที่สำคัญเกิดความมั่นใจในภาพลักษณ์ทางธุรกิจที่มีความมั่นคงและเป็นผู้นำในด้านดังกล่าว นำมาซึ่งการติดต่อและดำเนินธุรกิจกับองค์กรอย่างต่อเนื่อง
องค์กรอีกลักษณะหนึ่งที่ผมบริหารอยู่นั้นเป็นองค์กรเกี่ยวกับงานทางด้านวิชาการและการวิจัย ดังนั้นองค์กรจะต้องมีภาพลักษณ์ที่มีความ น่าเชื่อถือในลักษณะเป็นสถาบันทางวิชาการและการวิจัย โดยจะให้ความสำคัญกับศูนย์ข้อมูลที่มีความพร้อมในด้านข้อมูลที่เป็นเอกสาร มีการจัดเอกสารเป็นหมวดหมู่ ห้องทำงานนักวิจัยที่มีความเป็นระเบียบ และการบริการข้อมูลทางอินเทอร์เนตให้กับผู้มาติดต่อหรือลูกค้าที่ให้ความสนใจกับข้อมูลข่าวสารที่องค์กรเปิดให้บริการ เป็นต้น
สอดคล้องกับแต่ละฝ่ายในองค์กร
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน คือ การพิจารณาโครงสร้างภายในองค์กรว่ามีฝ่าย มีแผนกอะไรบ้าง เพื่อจัดให้เหมาะสม ฝ่ายที่เกี่ยวกับการผลิตนวัตกรรมประเภทหนังสือและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ห้องทำงานจะต้องมีความทันสมัย มีความพร้อมของเทคโนโลยีในการส่งเสริมผลิตผลงาน เพื่อทำให้พนักงานเกิดความสะดวกสบายในการทำงาน เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตงาน หากเป็นฝ่ายวิจัยทางด้านวิชาการ ที่ต้องการสมาธิในการทำงาน อาจต้องจัดให้มีฉากกั้นระหว่างโต๊ะทำงานเพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนของแต่ละคนในการคิดงาน และมีชั้นวางหนังสือ/เอกสารให้กับนักวิจัยแต่ละคนเพื่อสะดวกในการหยิบใช้เอกสาร เป็นต้น
ในส่วนของห้องประชุมซึ่งใช้เป็นที่ประชุมของแต่ละฝ่ายและการประชุมรวมขององค์กร ซึ่งมีความสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายขององค์กร การจัดห้องประชุมจะมีลักษณะที่ทำให้ทุกคนในองค์กรมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น การจัดวางตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ การใช้สีภายในห้อง และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่เป็นกันเอง และนำมาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดในการประชุม
พนักงานเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
การจัดวางตำแหน่งโต๊ะทำงาน ทั้งของฝ่ายและของพนักงานแต่ละคน จะคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงานของทุกคนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และความสุขในการทำงานของพนักงานทุกคน เช่น พื้นที่ของห้องทำงานที่จะไม่เกิดความอึดอัดหรือรู้สึกคับแคบในการทำงาน การมีสมาธิในการคิดงานทำงานโดยไม่ถูกรบกวนจากสภาวะแวดล้อมภายนอก หรือการจัดให้มีตู้ปลาเล็กๆ ไว้ในห้องทำงาน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างทำงานด้วยการให้อาหารปลาหรือมองปลาว่ายน้ำไปมา การควบคุมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยจัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย เพราะโต๊ะพนักงานที่ไม่มีการจัดเอกสารอย่างเป็นระเบียบ ปล่อยเอกสารกองพะเนินบนโต๊ะ อาจจะลดทอนประสิทธิภาพการทำงานของตนและก่อให้เกิดมลภาวะต่อเพื่อนร่วมห้องทำงานได้ เป็นต้น
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวดล้อมในองค์กร ย่อมสร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจกับลูกค้า ตลอดจนสนับสนุนให้พนักงานเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน นำมาซึ่งการปลดปล่อยศักยภาพ การเพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน และไปถึงเป้าหมายและผลสำเร็จที่ตั้งไว้ขององค์กร

สิ่งสำคัญในการประเมิน “ผลงาน” ให้ได้ “ผลดี

หน้าที่อย่างหนึ่งของ HR เมื่อใกล้เวลาสิ้นปีก็คือ การเตรียมประเมินผลการทำงานของพนักงาน ซึ่งจะนำผลที่ได้จากการประเมินมาใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขการทำงานของพนักงาน พัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ก่อเกิดผลผลิตที่มีคุณภาพ ซึ่งมีผลสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตขององค์กร ด้วยเหตุนี้ทุกองค์กรจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการประเมินผลงานของพนักงานได้ อย่างน้อยต้องทำปีละ 1 ครั้ง หรือหากองค์กรใดมีความพร้อมที่จะประเมินได้บ่อยกว่านี้ อาจเป็นทุก ๆ 3 เดือน หรือ 6 เดือนก็จะช่วยให้ปัญหาถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
เป้าหมายของการประเมินคืออะไร??
เราประเมินผลการทำงานเพื่อให้ผู้จัดการหรือหัวหน้างานได้สื่อสารกับพนักงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการทำงาน แนะนำกลยุทธ์เพื่อการเติบโตในอาชีพอย่างต่อเนื่องให้แก่พนักงาน รวมถึงรับฟังปัญหาของพนักงาน เพื่อเตรียมหาแนวทางการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาการทำงานของพนักงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่โดยตลอดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกระบวนการประเมิน ว่าการประเมินนั้นจะใช้ได้ผลเพียงใด มีความแม่นยำเที่ยงตรงจริงหรือ ทั้งนี้คงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเครื่องมือแต่เพียงอย่างเดียว กระบวนการในการประเมิน รวมทั้งความร่วมมือของพนักงานและผู้บริหารก็มีส่วนสำคัญต่อผลการประเมินไม่แพ้กัน
ปัจจัยที่ทำให้การประเมินมีประสิทธิภาพนั้นเริ่มตั้งแต่การออกแบบการประเมิน หากแบบประเมินถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี มีเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจน มีการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างเข้มข้น แบบประเมินย่อมเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและความเชื่อถือ เมื่อเครื่องมือพร้อม กระบวนการประเมินก็ควรจะพร้อมด้วย ซึ่งหมายถึง การประเมินให้ได้ผลดีต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ได้รับความร่วมมือจากพนักงาน รวมทั้งตัวผู้ประเมินเองด้วย โดยปกติแล้วคือ หัวหน้างานหรือผู้จัดการ หากผู้ประเมินไม่มีความพร้อมในการประเมิน เช่น ไม่รู้วิธีการประเมินที่ถูกต้อง มีความลำเอียงในการประเมิน เลือกที่รักมักที่ชัง หรือไม่ใส่ความตั้งใจลงไปในการประเมิน อาจส่งผลให้การประเมินล้มเหลว ไม่สามารถวัดผลได้ ถือเป็นการเสียเวลาและงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
ผู้ประเมินจึงต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการประเมินเพื่อให้ :
พนักงานได้รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของตนอย่างสม่ำเสมอ และได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับการแก้ไขจุดอ่อนต่าง ๆ ในการทำงาน
ผู้จัดการและพนักงานร่วมกันกำหนดเป้าหมาย วางแผนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน กำหนดการฝึกอบรมและการพัฒนาที่จำเป็นสำหรับพนักงาน รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ เช่น การเลื่อนตำแหน่ง และการขึ้นเงินเดือน เป็นต้น
ผู้จัดการเข้าใจลึกซึ้งถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถส่งเสริมสัมพันธภาพในการทำงานระหว่างพนักงานในแต่ละแผนกได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทักษะในการบริหารจัดการมีความเข้มแข็งมากขึ้น
ผู้จัดการและพนักงานมีการสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังซึ่งกันและกัน พัฒนาความสัมพันธ์แบบให้และรับต่อกัน ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น
จะเห็นได้ว่าการประเมินมีประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร แต่หากผู้ประเมินไม่สามารถจัดทำการประเมินอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และช่วยให้พนักงานเกิดการพัฒนาได้แล้วละก็ สิ่งที่ตามมาอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี การประเมินที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้พนักงานเกิดความคับข้องใจ รู้สึกไม่มั่นคง และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในองค์กรตามมาได้ ดังนั้นผู้ประเมินต้องใส่ความตั้งใจลงไปในกระบวนการประเมินให้มาก และพยายามเข้าถึงพนักงานให้มากที่สุด เพื่อที่จะค้นพบปัญหาที่แท้จริง และหาวิธีการแก้ไขให้ถูกต้อง เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน
ท้ายที่สุดแล้วทั้งผู้จัดการและพนักงานต้องเข้าใจว่าไม่มีระบบการประเมินแบบใดที่สมบูรณ์แบบในโลกนี้ ทุก ๆ การประเมินล้วนมีจุดอ่อนที่จะต้องจัดการแก้ไข แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณให้ความสำคัญกับการประเมิน พยายามป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น คุณจะได้เครื่องมือที่ช่วยในการแก้ปัญหาการทำงานของพนักงานและเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

By Peungae

วิธีรับมือกับความเฉื่อยชาในที่ทำงาน

พนักงานที่เฉื่อยชา ลาหยุดบ่อย ไม่ใส่ใจในกฎเกณฑ์หรือระเบียบของบริษัท ไม่ว่านโยบายหรือทิศทางของบริษัทจะเป็นเช่นไร เขาก็ยังคงเป็นอย่างที่เขาเป็น ทำอย่างที่เขาเคยทำ ไม่ปฏิบัติตาม ซ้ำยังไม่ “ยินดี” แต่มักจะ “ยินร้าย” ต่อเรื่องต่าง ๆ เสมอ บางครั้งพวกเขาใช้อีเมลเป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์บริษัท บ่อยครั้งที่ได้ยินเสียงพร่ำบนของเขาเวลาเดินไปดื่มน้ำ หรือใช้ห้องรับประทานอาหารเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติ พนักงานที่มีลักษณะและพฤติกรรมเช่นนี้สร้างความหนักอกหนักใจให้กับเพื่อนร่วมงานไม่น้อย ด้วยความที่เป็นคนเฉื่อยชา มาทำงานเพียงเพื่อให้ผ่านไปแต่ละวัน ไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง ซ้ำยังชอบวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่สร้างสรรค์ ทำให้เพื่อนร่วมงานต่างเอือมระอา และนี่คือปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเขาเองและต่อเพื่อนร่วมงาน หากยังเป็นอยู่เช่นนี้ เขาไม่อาจเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ ทั้งยังจะบั่นทอนกำลังใจของเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก ถ้าคุณปล่อยให้เขาทำพฤติกรรมเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เท่ากับว่าคุณกำลังส่งสัญญาณให้เขาเข้าใจว่าพฤติกรรมของเขาเป็นที่ยอมรับ และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ ในทางกลับกันอาจทำให้พนักงานดี ๆ ที่ขยันขันแข็งเกิดอาการเฉื่อยชา ขาดความกระตือรือร้นตามไปด้วย เนื่องจากเห็นว่า คนที่ทำตัวไม่ดี ไม่ทุ่มเทให้องค์กร กลับไม่ได้รับการลงโทษ แล้วเขาจะอุทิศตนทำงานหนักเพื่อองค์กรไปทำไม ในเมื่อไม่ทำก็ไม่ผิด นอกจากนี้ พนักงานที่เคารพนับถือคุณอาจเสื่อมศรัทธาต่อการบริหารจัดการของคุณ หากเป็นเช่นนั้นความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อองค์กรก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วย เพราะคุณไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่ทุกคนในออฟฟิศต่างมองเห็นได้
เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องจัดการกับปัญหานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคุณอาจขอข้อมูลและขอความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานของคนที่เป็นปัญหา และพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมที่ชวนปวดขมองเหล่านี้ ต้องวิเคราะห์ว่าพนักงานที่เริ่มต้นการทำงานด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้นกับงานใหม่ พวกเขาทำงานอย่างคนมีไฟ แต่แล้วพลังเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ลดลงและหายไปในที่สุด ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายที่คุณต้องหาสาเหตุให้พบไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาให้เขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันพนักงานที่มีไฟ ไม่ให้ไฟมอดลงตามไปด้วย
และก่อนที่คุณจะเข้าไปใกล้ชิดกับพนักงานที่เฉื่อยชาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับเขา คุณต้องยอมรับก่อนว่า อาการไม่มีความสุข กำลังใจถดถอยเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีที่มาที่ไปเสมอ สิ่งที่เขาทำลงไปอาจชอบด้วยเหตุผลบางอย่างของเขา ควรทำให้เขาเห็นว่า คุณเข้ามาเพื่อช่วยเขาให้คลายจากความทุกข์ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข หากเขาคิดว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นจากบริษัท คุณอาจคุยกับเขาว่ามีระบบงานในส่วนไหนของบริษัทที่เป็นสาเหตุให้เขารู้สึกล้มเหลวในชีวิตเช่นนี้ และเมื่อคุณทราบปัญหาแล้ว สิ่งที่ควรทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหา คือการบำรุงรักษาจิตใจของพนักงาน ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
ช่วยค้นหาว่าอะไรในตัวเขาที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ หรือทำให้เขามีการพัฒนาการทำงานขึ้นมาได้
ทำให้เขามั่นใจว่าคุณเชื่อในความสามารถของเขาที่จะไปสู่ความสำเร็จได้ การให้กำลังใจด้วยคำพูดที่สื่อความรู้สึกดี ๆ ช่วยกระตุ้นพลังในตัวเขาได้
ช่วยเขากำหนดเป้าหมายในระยะสั้นก่อน เพื่อให้เขาค่อย ๆ เกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จ เป็นการปรับเปลี่ยนทัศคติในการทำงานทีละน้อย
ให้เขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่เขาชื่นชอบในทุก ๆ วัน เพราะการได้ทำในสิ่งที่เขาชอบจะทำให้งานออกมาดี และเขาก็มีกำลังใจที่จะทำอย่างอื่นด้วย
เชื่อว่าแนวทางดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ในการจัดการกับความเฉื่อยชาในออฟฟิศได้ หากคุณทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดของเขาได้ อย่าเพิ่งท้อแท้หรือสิ้นหวัง เพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความอดทน

By Peungae

Thursday, January 8, 2009

ภาวะผู้นำสร้างได้

ภาวะผู้นำสร้างได้
หน้าที่อย่างหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ การกระตุ้นให้เกิดภาวะผู้นำ ไม่เพียงแต่ในระดับผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือหัวหน้างานเท่านั้น แต่หมายรวมถึง พนักงานทุกคนในองค์กร
ด้วยความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนไทยเราไม่ค่อยกล้าแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ มักรอให้มี “ฮีโร่” เริ่มต้นทำก่อน แล้วจึงทำตาม หากจนแล้วจนรอดในกลุ่มไม่มีผู้กล้าเลย ก็ต้องมีคนหนึ่งซึ่งถูกสถานการณ์บังคับให้เป็น “ผู้นำจำเป็น”
จากสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เราต้องเป็นผู้นำนั้น ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วภาวะผู้นำมีอยู่ภายในตัวเราทุกคน หากมีการเรียนรู้ ฝึกหัด และอบรมอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่ยากที่จะกระตุ้นภาวะผู้นำในตัวบุคคลออกมาได้ มาดูกันว่าคุณลักษณะใดบ้างที่ควรพัฒนาสำหรับผู้ที่จะก้าวสู่การเป็น “ผู้นำ”
ความเชื่อมั่น ผู้นำที่ดีต้องมีความเชื่อมั่น เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ เพราะถ้าเรายังไม่เชื่อมั่นในตัวเองแล้ว การที่ใครมาศรัทธาและไว้วางใจในตัวเราก็คงเป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะเชื่อแต่ตัวเราเองเท่านั้น ผู้นำที่ดีต้องรู้จักรับฟังผู้อื่นด้วย
ทักษะในการฟัง ผู้นำที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่รับฟังอย่างตั้งใจ และมีศิลปะในการฟัง ดังมีผู้กล่าวว่าการฟังคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เมื่อเราพูดเราจะรู้เท่าที่เราพูด แต่เมื่อเราฟังเราจะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ผู้นำจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนที่เราจะนำ เพื่อรับฟังปัญหา ตลอดจนความคิดเห็นต่างๆ และเป็นที่ปรึกษาในการแก้ปัญหา ปรับปรุงการทำงานให้สัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมาย
การตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจ ทั้งนี้ก่อนที่ตัดสินใจนั้นในเรื่องใดๆ ลงไปนั้น ผู้นำต้องมีกรอบความคิด และการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ เรียนรู้ที่จะหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ อย่างไรก็ดี หากยังไม่มั่นใจ ควรมีที่ปรึกษาไว้ช่วยในการตัดสินใจด้วย
การยอมรับในจุดอ่อน การกระทำที่ผิดพลาดอย่างหนึ่งของผู้นำ คือ การพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ยอมพึ่งพาผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ยอมรับในจุดอ่อนของตน และพยายามสร้างสมมติฐานเอาเอง เมื่อนั้นโอกาสที่เราจะตัดสินใจผิดพลาดมารออยู่ตรงหน้าแล้ว พึงเข้าใจว่า ผู้นำไม่ใช่ยอดมนุษย์ จึงไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกเรื่อง สิ่งที่ควรทำคือ ยอมรับในจุดอ่อนของตน และหาคนที่ไว้ใจได้มาเป็นที่ปรึกษา การขอความช่วยเหลือไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของคุณหมดไป ดังนั้นจงอย่าอายที่จะถาม
การมีส่วนร่วม ผู้นำที่ดีต้องไม่ยึดติดกับตำแหน่งและอำนาจ ผู้นำที่จะมัดใจลูกน้องได้คือคนที่เข้าหาพวกเขา ร่วมเผชิญปัญหา และฝ่าฟันไปพร้อมๆ กับพวกเขา ให้คำแนะนำพวกเขาในสิ่งที่เราเคยผ่านมา รวมทั้งยินดีในความสำเร็จร่วมกับพวกเขา
เริ่มต้นพัฒนาคุณลักษณะ 5 ประการข้างต้นให้แก่บุคลากรในองค์กรของคุณ เพื่อสร้างผู้นำ นำทัพพาองค์กรก้าวไปสู่ปลายทางแห่งความสำเร็จ
By Peung

ของแพงขายดี..เพราะมีจุดขาย

ของแพงขายดี..เพราะมีจุดขาย
วันเงินเดือนออก เป็นช่วงเวลาที่คนทำงานจะรู้สึกร่ำรวยที่สุด ผู้คนมีรอยยิ้ม ใบหน้าเปื้อนความสุข อะดรีนาลีนที่หลั่งไหลอยู่ภายในกระตุ้นให้ร่างกายอยากจะออกไปกิน เที่ยว จับจ่ายใช้สอยซื้อของที่หมายตาไว้เพื่อฉลองวันแห่งความมั่งคั่ง จึงไม่แปลกเลยที่เงินในกระเป๋าจะไหลออกอย่างรวดเร็ว
จะว่าไปการที่คนเรายอมควักกระเป๋าเพื่อซื้อสินค้าสักชิ้นนั้น มีปัจจัย 3 อย่างด้วยกัน
ซื้อเพราะต้องการประโยชน์ที่ได้จากการใช้สินค้า
ซื้อเพราะสินค้าชิ้นนั้นมีคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก
ซื้อเพราะกลัวเสียประโยชน์จากการไม่ซื้อสินค้านั้น
คุณคิดว่าในช่วงเวลาแห่งความมั่งคั่งเช่นนี้ ปัจจัยข้อใดมีผลต่อการตัดสินใจของเรามากที่สุด
อารมณ์และความรู้สึกนำโด่งมาเป็นอันดับแรกเลยค่ะงานนี้ อาจเป็นเพราะการที่เราอดทนอดกลั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน หรืออะไรก็ตามแต่ ในช่วงก่อนหน้านี้ที่เราไม่มีเงิน พอถึงวันนี้ที่รอคอย เราก็ซื้อแหลกสนองความต้องการอย่างจุใจ ซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีสำหรับนักขายทั้งหลายที่จะเสนอขายสินค้าที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกให้แก่ลูกค้า โดยสินค้าในกลุ่มนี้มักเป็นสินค้าราคาแพงที่ใช้ความหรูหรา มีระดับ ความภูมิฐาน ความภาคภูมิใจ ความมีสง่าราศี เข้ามาจับ
เพราะความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการชูจุดขายในเรื่องประโยชน์ใช้สอย ซึ่งเป็นจุดที่แข่งขันกันได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างการขายรถทุกวันนี้ มักจะแข่งกันที่ความสามารถในการประหยัดน้ำมัน รถยี่ห้อ 2 ประหยัดน้ำมันมากกว่ารถยี่ห้อ 1 สินค้าที่จะทำตลาดได้ดีกว่าก็คือ รถยี่ห้อ 2 เมื่อผู้บริหารของรถยี่ห้อ 3 เห็นว่ารถยี่ห้อ 2 ขายดีเพราะประหยัดน้ำมัน จึงผลิตรถที่ประหยัดน้ำมันมากกว่าออกมาตีตลาดรถยี่ห้อ 2 ทำให้รถยี่ห้อ 2 ไม่สามารถชูจุดขายเดิมได้อีก ซึ่งในจุดนี้ถือเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งของการชูจุดขายในเรื่องประโยชน์ใช้สอย
แต่ถ้าหันมาชูจุดขายในเรื่องของความพึงพอใจจากการใช้สินค้า จะทำให้คู่แข่งทำตาม หรือลอกเลียนแบบได้ยาก และเราก็จะสามารถขายสินค้าในราคาสูงได้ อย่างเช่น BMW ที่ชูสโลแกนว่า เป็นรถยนต์สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเจอสโลแกนนี้เข้าไป ใครบ้างไม่อยากประสบความสำเร็จ ถึงจะราคาเป็นล้าน ก็ยอมควักกระเป๋าจ่าย จริงไหมคะ
สำหรับคุณผู้หญิงที่นิยมใช้กระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง Louis Vuitton ก็เพราะคุณค่าทางจิตใจเช่นกัน ผู้ซื้อรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ ความมีสง่าราศี และมีรสนิยม ทั้งที่กระเป๋าบางรุ่นใส่ของได้นิดเดียว แถมราคายังแพงหูฉี่ แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
ในฐานะนักขาย หากสินค้าที่คุณขายมีราคาแพง ลองหันมาใช้จุดขายที่มีผลต่อจิตใจเป็นตัวชูโรง แล้วจึงตามด้วยเรื่องของประโยชน์จากการใช้งาน วิธีนี้จะทำให้ลูกค้ายอมควักกระเป๋าซื้อสินค้าของคุณได้ไม่ยาก ที่สำคัญความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ซื้อเช่นนี้ ยากที่คู่แข่งจะลอกเลียนแบบได้

By Peung

ฟังให้เข้าใจ ตอบให้มีชั้นเชิง

เทคนิคนักขาย : ฟังให้เข้าใจ ตอบให้มีชั้นเชิง

สิ่งสำคัญที่ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ พูดกันรู้เรื่อง ฟังเข้าใจ เจรจากันได้สำเร็จ ได้แก่ การฟังและการตอบคำถาม การฟังอย่างตั้งใจจะทำให้ผู้ฟังสามารถเก็บข้อมูลความต้องการของผู้พูดได้อย่างครบถ้วน และสามารถตอบคำถามหรือเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กลับไปได้
ในการขาย การฟังเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักขาย นักขายที่ดีต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยมีการรับฟังอย่างเข้าใจ ไม่พูดสอดหรือขัดจังหวะขณะที่ลูกค้ากำลังพูด ผงกศีรษะรับคำพูด ไม่จบประโยคแทนผู้พูดฟังให้เข้าใจและตีความหมายของผู้พูด โน้มเอียงตามผู้พูด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงบวก สบตาอย่างมีมิตรไมตรี ฟังด้วยใจที่เปิดกว้างควบคุมอาการท่าทางไม่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วย และทบทวนคำพูดเพื่อให้มั่นใจว่าเข้าใจถูกต้องตรงกัน
นอกจากการฟังแล้วนักขายต้องรู้จักการตอบคำถามอย่างเหมาะสม รู้จักแนวทางการตอบคำถามที่หลากหลาย โดยอาจจะตอบตรงๆ ให้ครบถ้วน บางสถานการณ์อาจตอบนอกเรื่องให้เป็นเรื่องตลก หรือตอบนอกเรื่องแบบมีลูกล่อลูกชนสักหน่อย
การพูดทวนคำพูดลูกค้า และเรียบเรียงคำตอบเสียใหม่
ลูกค้า ผมคิดว่าราคาที่คุณเสนอมา ยังสามารถลดลงไปได้อีก
นักขาย คุณต้องการให้ผมลดราคาลงไปอีก ผมคิดว่าผมได้ให้ราคาที่พิเศษที่สุดสำหรับคุณโดยเฉพาะแล้ว
การตอบในลักษณะปฏิเสธที่จะให้ถามต่อไปอีก
ลูกค้า ผมคิดว่าราคาที่คุณเสนอมา ยังสามารถลดลงไปได้อีก
นักขาย ผมคิดว่า เรื่องราคาคงไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะนั่นคือราคาสุดท้ายของผม แต่การให้ประโยชน์ด้านอื่นเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่อาจคุยกันต่อไปได้
การเลื่อนไปตอบในเวลาอื่น
ลูกค้า ผมไม่มั่นใจในกระบวนการผลิตของคุณ คุณพอจะแสดงระบบการผลิตให้ผมดูได้ไหมครับ
นักขาย ผมคิดว่าเรื่องนี้ ไว้คุยกันตอนไปเยี่ยมโรงงานของผมดีกว่าครับ ถ้าเราสามารถตกลงราคากันได้
การใช้อารมณ์ขัน
ลูกค้า ผมอยากทราบว่ารถยนต์ที่คุณขาย เปรียบเทียบกับรถเฟอรารี่แล้วเป็นอย่างไร
นักขาย ขอบคุณที่ถาม แต่คุณอย่างเอาม้าแข่งมาเทียบกับวัวลากรถในเรื่องความเร็วดีกว่าครับ
อีกเทคนิคที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย คือ การแสดงตนว่าอยู่ข้างเดียวกับลูกค้า เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ แก้ปัญหาตามความคิดและความรู้สึกของลูกค้า จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่น และแน่นอนว่า การซื้อขายกันย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ลูกค้า ผมคิดว่า สินค้าที่คุณนำเสนอมีราคาแพงเกินไปจริง ๆ
นักขาย คุณไม่ต้องการถูกเอาเปรียบเรื่องการซื้อสินค้าใช่ไหม
ลูกค้า ใช่ ผมคิดว่า ถ้าผมถูกเอาเปรียบ ผมคงไม่สามารถตกลงเรื่องราวการซื้อสินค้าได้
นักขาย ถ้าผมช่วยให้คุณได้ซื้อสินค้าที่คุณต้องการ โดยคุณไม่ถูกเอาเปรียบเรื่องราคา รวมถึงคุณภาพ คุณคิดว่าจะเป็นประโยชน์ไหม
การรู้จักฟังและรู้จักพูดเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักขายที่ดี จงฟังอย่างตั้งใจและตอบคำถามอย่างเหมาะสมเพื่อให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

By Peung

เทคนิคเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า

เทคนิคเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า
นามมาแล้วมีเซลส์แมน Knock คนหนึ่งมีวิธีการขายที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร เขาเริ่มต้นด้วยการยืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าบ้าน “คุณลุงครับ ขอเชิญมาชมอะไรในช้อนนี้หน่อยสิครับ” เซลส์แมนหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นช้อนสเตนเลส มันวับ...เข้ามาที่ช่องระหว่างรั้ว
เสียงดังฟังชัดของเด็กหนุ่มคนนั้น ประกอบกับช้อนสเตนเลสซึ่งกระทบแสงแดดตอน 10 โมงเช้า สะท้อนเข้าในสายตาของลุงวับ.....วับ......ด้วยความแปลกใจ ผสมกับความอยากรู้ว่า เจ้าหนุ่มคนนั้นจะทำอะไร ทำให้คุณลุงลืมไปว่า กำลังพูดอยู่กับเซลส์แมน คุณลุงจึงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่จะถึงรั้วดี เสียงเด็กหนุ่มคนนั้น ก็ดังขึ้นมาก่อนอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "คุณลุงจะไม่เห็นอะไรในช้อนนี้ละครับ.....แต่ในช้อนนี้มีสิ่งที่มีประโยชน์มาก.....ขอผมเข้าอธิบายข้างในได้ไหมครับ?"
และแล้วคุณลุงก็เปิดประตูให้เด็กหนุ่มเข้าไปในบ้านอย่างง่ายดาย "คุณลุงครับ คุณลุงจะไม่เห็นอะไรในช้อนนี้ละครับ แต่ผมอยากเรียนว่า ในช้อนนี้มีสิ่งที่จะมีประโยชน์มากๆ แก่คุณลุง....เพราะในช้อนนี้มีแสงแดด และคุณลุงก็คงจะทราบนะครับว่า ในแสงแดดนั้นมีวิตามินดี.....คุณลุงไม่ต้องเสียเวลาตักวิตามินดีจากแสงแดดมาเพื่อบำรุงร่างกายอีกต่อไปแล้วละครับ ผมมีวิตามีนดี....ใส่ขวดเรียบร้อย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าจากเยอรมันมานำเสนอให้คุณลุงลองใช้ดูแล้วละครับ...นี่ครับ วิตามินดีของผม"
และแล้วคุณลุงก็มาถึงบางอ้อ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มาขายช้อน แต่มาขายวิตามินดีอัดเม็ดนั่นเอง
ลองคิดดูว่าถ้าเด็กหนุ่มคนนี้มาเสนอขายสินค้าแบบธรรมดา ๆ ก็คงจะถูกปฏิเสธไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้รู้มาว่ามาขายอะไร แต่ที่พิเศษของเด็กหนุ่มคนนี้ที่มีวิธีการขายไม่เหมือนใคร ที่เรียกว่า การกระตุ้นการรับฟัง Attention
โดยมีหลักการง่ายๆ ต่อไปนี้
พูดอะไรที่คุณสามารถแสดงให้ลูกค้ามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณกำลังเสนอโดยทันที
ถามคำถามที่คุณสามารถทำให้ลูกค้าตอบ ตรงกับจุดประเด็นที่คุณกำลังจะกล่าวถึง
แสดงคุณค่าของสิ่งที่คุณเสนอให้ลูกค้าเห็นตั้งแต่เริ่มแรกได้อย่างไร
ใช้คำพูดอะไรเพียงสั้นๆ เพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า คุณสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้
คุณมีอะไรจะบอกลูกค้า เพื่อให้เขาหันเหความสนใจมายังเรื่องที่ท่านเสนอในทันที
คุณจะใช้คำพูดอะไรที่ทำให้ลูกค้าเกิดความกระตือรือร้นที่จะฟังคุณพูดต่อไป
และหลักทั้ง 6 ข้อนี้ ต้องมีความแตกต่าง 3 ประการ คือ
ใช้วิธีการ และคำพูดที่แตกต่างจากคนอื่น
ใช้วิธีการ และคำพูดที่แตกต่างกับที่คุณเคยใช้มาก่อน
ใช้วิธีการ และคำพูดที่แตกต่างจากลูกค้าที่คาดคิดเอาไว้
เรียกร้องความสนใจจากลูกค้าให้ได้ เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสเข้าพบและเสนอขายสินค้าของคุณ หากในขั้นตอนนี้คุณไม่สามารถทำให้สำเร็จได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่คุณจะขายได้..ช่างริบหรี่เหลือเกิน
By Peung

เทคนิคการขายแบบ Telemarketing

เทคนิคการขายแบบ Telemarketing
ลักษณะของ Tele Sales เหมาะสำหรับสินค้าที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป เช่น บัตรเครดิต เครื่องใช้สำนักงาน บัตรห้องพักโรงแรมที่สมัครเป็นสมาชิก ฯลฯ โดยจะสังเกตได้ว่า สินค้าเหล่านี้มักมีผู้ซื้อหรือผู้สนใจจะซื้อโดยทั่วไป บางสินค้าก็ไม่จำเป็นกับชีวิต แต่ใครมีบัตรเหล่านี้แล้ว ถือเป็นเกียรติยศ บางทีก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น บัตรเครดิตสำหรับเอาไว้จับจ่ายใช้สอย เป็นต้น
ดังนั้นในการหา "ผู้ซึ่งจะมาเป็นลูกค้า" หรือ Prospect มักจะใช้วิธีการโทรสุ่มไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่บอกว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็เพราะสินค้าเหล่านี้ มีบุคคลที่ "เป็นกลุ่มเป้าหมาย" เหมือนกัน เช่น บัตรหรูของโรงแรม ที่ต้องโทรหาคนฐานะดี คนที่เดินทางต่างประเทศบ่อย ๆ ถ้าเป็นบัตรเครดิตธนาคารก็ต้องหาคนที่มีรายได้เกิน 15,000 บาทขึ้นไป ซึ่งในการเลือก "กลุ่มเป้าหมาย" นั้น บริษัทซึ่งจะเป็นเจ้าของสินค้า เขาจะชำนาญ คอยแนะนำให้ว่า ผู้ใดควรจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เราจะโทรศัพท์ ไม่ใช่พลิกสมุดหน้าขาว หน้าเหลืองขึ้นมาได้ ก็โทรไปหาทุกคนอย่างที่เข้าใจกัน
ทีนี้เมื่อเราได้ "กรองลูกค้า" มาชั้นหนึ่งแล้ว เราก็ดำเนินการโทร ซึ่งในการโทรนั้นต้องมีอุปกรณ์ที่พร้อมอยู่เบื้องหน้า เช่น ปากกา สมุดโน้ต ระเบียบการต่าง ๆ และ "กระบวนการในการโทรศัพท์"
กระบวนการในการโทรศัพท์นี้สำคัญมาก เพราะเป็นคู่มือที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม เช่น วิธีทักทายถ้าเจอตัวลูกค้า วิธีถามหาชื่อลูกค้าถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้รับสาย เมื่อเขารับสายแล้ว เราจะพูดอย่างไร ถ้าบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ จะแก้ไขอย่างไร อะไรคือสัญญาณซื้อทางโทรศัพท์ ทำอย่างไรจึงจะปิดการขายได้ ฯลฯ ตรงจุดนี้จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า โดยจัดทำเป็นสคริปต์ล่วงหน้า และซักซ้อมความเข้าใจ ซึ่งแน่นอนว่าในวันนี้หากเราไม่สามารถปิดการขายได้ ในวันข้างหน้า ถ้าลูกค้าสนใจ แล้วเห็นว่าเราให้ความคิดหรือคำพูดที่ดีเขาก็อาจจะโทรหาเราได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราจะต้องเตรียมเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้งานได้ดี ไม่มีเสียงรบกวน พูดดัง ฟังชัด และมีสถานที่ที่เงียบสงัดสำหรับใช้โทรศัพท์โดยเฉพาะ เพราะหากมีเสียงรบกวนการสนทนา จะเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการเสนอสินค้า หรือโน้มน้าวใจลูกค้าให้สนใจสินค้าของเรา สัญญาณรบกวนต่าง ๆ อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ลูกค้าใช้สำหรับการปิดบทสนทนาของเราอย่างรวดเร็วก็ได้
นอกจากนี้เวลาเราโทรศัพท์ จะต้องนึกอยู่ตลอดเวลาว่า "กำลังอยู่ต่อหน้าลูกค้า" ถึงแม้ว่าลูกค้าจะไม่เห็นหน้าของเรา แต่น้ำเสียงของเราสามารถบ่งบอกได้ว่า เราเชื้อเชิญให้เขาซื้อสินค้าด้วยความจริงใจหรือไม่ ดังนั้นควรมีรอยยิ้มเสมอเวลาที่เราโทรศัพท์
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับการขายทางโทรศัพท์ให้ประสบความสำเร็จ
การที่เราจะโทรหาลูกค้าเราต้องมีการวางแผนการโทรก่อน
การเปิดตัว ทำอย่างไร จะมีคำพูดอย่างไรให้ลูกค้าสนใจได้บ้าง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษจริง ๆ
การวิเคราะห์ลูกค้า หรือ การที่เราประเมินดูว่าเค้าสนใจสินค้าเรามากน้อยแค่ไหน
การปิดการขาย เมื่อมีการเปิดตัว เปิดขายแล้วเราก็ต้องมีการปิด อย่าลืมว่าลูกค้าที่เราโทรหาในแต่ละวันมี จำนวนไม่น้อยเลย เราจึงต้องหมั่นปิดการขายให้ได้มาก ๆ
การตอบข้อโต้แย้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นเพื่อปฏิเสธการขาย แต่ถ้าเราสามารถตอบข้อโต้แย้งได้ เราก็สามารถปิดการขายได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราตอบไม่ได้โอกาสที่จะปิดการขายก็มีน้อยมาก ๆ ด้วย
การสรุปและการปิดการสนทนา แน่นอนว่าในวันนี้ถ้าหากเราไม่สามารถปิดการขายได้ ในวันข้างหน้าถ้าลูกค้าสนใจ ก็อาจจะโทรเข้ามาคุยกับเราอีก
ที่มา : http:// www.pantown.com
By Peung

เทคนิคในการโน้มน้าวใจผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ

เทคนิคในการโน้มน้าวใจผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ

ความสามารถในการโน้มน้าวใจเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในการขายสินค้า นักขายที่มีความสามารถโน้มน้าวใจคนเก่งมีโอกาสทำยอดขายได้มากในทางตรงกันข้ามหากนักขายไม่สามารถโน้มน้าวใจลูกค้าได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการขายย่อมมีน้อย มาดูกันว่า หลักในการโน้มน้าวใจให้ประสบความสำเร็จนั้นมีอะไรบ้าง
อาจารย์ไพบูลย์ ล้วนวรวัฒน์ได้ให้คำแนะนำไว้ในหนังสือ "คุณก็เป็นสุดยอดนักขายได้" ดังนี้
1. ให้นักขายนำเสนอหรือกล่าวถึงสิ่งที่ "ลูกค้า" ได้ประโยชน์จากการใช้สินค้า
นักขายต้องโน้มน้าวใจให้ลูกค้าเห็นดีเห็นงามกับประโยชน์ หรือ คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้สินค้านั้น โดยนักขายจะต้องชี้ให้ลูกค้าเห็นว่า ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับคืออะไร ซึ่งประโยชน์นั้นมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ที่จับต้องได้ หมายถึง ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ตัวสินค้าโดยตรง (Functional Benefits) และประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ หมายถึง ประโยชน์ทางด้านจิตใจ (Emotional Benefits) เมื่อลูกค้าได้ตระหนักถึงสิ่งที่จะได้รับแล้ว ลูกค้าจะให้ความร่วมมือและทำตามสิ่งที่นักขายเสนออย่างเต็มใจ
2. หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงสิ่งที่ลูกค้าจะเสียประโยชน์จากการใช้สินค้า
การ "หลีกเลี่ยง" นั้น "ไม่ใช่การโกหก" การหลีกเลี่ยง คือ การไม่กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างโดยไม่จำเป็น แต่การโกหกนั้น คือ การให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
นักขายควรหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงประเด็นที่จะทำให้ลูกค้าจะเสียประโยชน์จาการซื้อสินค้าของคุณ เพราะการกล่าวถึงสิ่งที่ลูกค้าจะเสียประโยชน์ จะทำให้กระบวนการโน้มน้าวใจทำได้ยากขึ้น หรือบางทีอาจจะล้มเหลวไปเลยก็ได้ 3. ทำให้ผลเสียของลูกค้าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในกรณีที่นักขายไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงผลเสียของสินค้า นักขายจะต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประโยขน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เมื่อลูกค้าทราบถึงผลเสีย แน่นอนลูกค้าต้องเกิดความลังเลใจในการซื้อสินค้า ปกติแล้วลูกค้าจะเปรียบเทียบระหว่างผลเสียกับประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับว่ามีอย่างไหนมากกว่ากัน แต่หากลูกค้าทราบว่าผลเสียนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ลูกค้าจะสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ไม่ยาก เพราะไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลอะไร
ดังนั้น หน้าที่ของนักขายก็คือ ต้องทำให้ผลเสียเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่นักขายสามารถนำไปใช้ได้คือ การหักล้างสิ่งที่ลูกค้าจะเสียไป ด้วยประโยชน์อันมากมายที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าของคุณ
ที่สำคัญวิธีการโน้มน้าวใจทั้ง 3 ประการข้างต้นจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ นักขายมีการเตรียมตัวทำการบ้านมาก่อนล่วงหน้าถึงวิธีนำเสนอประโยชน์ วิธีหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงผลเสียที่ลูกค้าจะได้รับ รวมถึงวิธีพูดให้ผลเสียนั้นดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้สามารถโน้มน้าวใจจนลูกค้ายอมโอนอ่อนตามนักขาย และเมื่อลูกค้าส่งสัญญาณให้ทราบว่า เขาพึงพอใจในการซื้อขายครั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่นักขายควรจะปิดการขายทันที
By Peung

ความรวดเร็วในการสื่อสารของนักขาย

ความรวดเร็วในการสื่อสารของนักขายต่อการตัดสินใจของลูกค้า

ในแวดวงนักขายย่อมเป็นที่รู้กันดีกว่า ใครที่เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ สามารถช่วงชิงตลาดและลูกค้าได้ก่อนคนอื่น การตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว แสดงถึงความเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายให้กับตนเอง เมื่อทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้มากกว่า แนวโน้มที่ลูกค้าจะเลือกใช้สินค้าหรือบริการของเราก็มีมากกว่าด้วย
เมื่อรู้ว่าความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญ ไฉนเลยจะประมาทในเรื่องนี้ ยิ่งบางบริษัทขายสินค้าผ่านตัวแทน ยิ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องความรวดเร็ว เพราะหากเราช้า ตัวแทนจำหน่ายอาจโน้มเอียงไปเชียร์บริษัทคู่แข่งของเราก็ได้ ยกตัวอย่าง บริษัท ก. ต้องการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ ผ่านตัวแทนจำหน่ายคือ บริษัทหนึ่งสองสามให้ช่วยเปรียบเทียบราคา และข้อดีข้อเสียของ เครื่องปรับอากาศยี่ห้อ M ซึ่งเป็นยี่ห้อเดิมที่บริษัท ก. ใช้อยู่ กับบริษัท Z ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ ตัวแทนบริษัทหนึ่งสองสาม จึงติดต่อไปยังบริษัท M และบริษัท Z เพื่อขอราคาและรายละเอียด บริษัท Z ต้องการลูกค้ารายนี้มากจึงสนับสนุนข้อมูลและรายละเอียดตามที่ขออย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งทีมมาช่วยเหลือในการทำข้อเสนอส่งลูกค้าอีกด้วย ในขณะที่บริษัท M ไม่ได้รีบร้อนในการจัดส่งราคาและรายละเอียดมากนัก เพราะคิดว่าอย่างไรบริษัท ก. ก็น่าจะใช้บริการของบริษัท M เหมือนเดิม ตัวแทนบริษัทหนึ่งสองสามต้องโทรตามเรื่องหลายครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกเอนเอียงไปทางบริษัท Z มากกว่า เพราะช่วยให้ตัวแทนทำงานสะดวกขึ้น
ในที่สุด...ลูกค้าก็ตัดสินใจเลือกบริษัท Z ตามที่ตัวแทนสนับสนุน
กรณีเช่นนี้ทำให้เราเห็นอะไรบ้าง?
บริษัท M เสียลูกค้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเขา “ช้า” และ “ชะล่าใจ” เกินไป ยิ่งถ้าเหตุการณ์นี้เกิดในภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยละก็ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบอย่างมากมาย บริษัทขาดรายได้ที่ควรจะเข้ามาเยียวยาในสภาวะฝืดเคืองจึงเป็นเรื่องที่นักขายจะต้องตระหนักและปรับปรุงในเรื่องความรวดเร็ว เอาใจใส่ลูกค้าให้มากขึ้น โดยไม่ลืมว่า บริษัทตัวแทนก็เป็นลูกค้าที่สำคัญ ที่จะช่วยในการส่งเสริมการขายของบริษัทอีกทางหนึ่ง
ในขณะที่บริษัท Z ลงทุนส่งทีมงานมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับบริษัทหนึ่งสองสาม ทำให้ตัวแทนเกิดความประทับใจ และโน้มเอียงไปทางบริษัท Z ทั้งที่ยังไม่ได้มีการเปรียบเทียบราคาและรายละเอียดอื่น ๆ ที่เป็นสาระสำคัญ โดยตัวแทนมองว่าหากทั้งสองบริษัทเสนอข้อมูลที่เท่ากันให้กับลูกค้า กว่าลูกค้าจะตัดสินใจอาจต้องใช้เวลาอีกนาน จึงปรึกษากับทีมงานเพื่อสนับสนุนบริษัท Z เพื่อให้งานจบโดยเร็ว
จึงอยากให้นักขายได้ข้อคิดจากกรณีดังกล่าวนี้ ว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจคาดไม่ถึง ที่สามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจ “เลือก” หรือ “ไม่เลือก” ใช้สินค้าและบริการของเรา แต่ปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอนนั่นก็คือ “ความรวดเร็วในการสื่อสาร”
By Peung

เกร็ดความรู้สำหรับนักขาย

แก้ไขอย่างไรเมื่อถูกลูกค้าร้องเรียน

ปัญหาการร้องเรียนของลูกค้าอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อลูกค้าเกิดความไม่พึงพอใจในตัวสินค้าหรือบริการ ซึ่งสาเหตุนั้นอาจมากจากหลายปัจจัยมากมาย แต่ไม่ว่าการร้องเรียนนั้นจะเกิดจากสาเหตุใดสิ่งที่พนักงานขายต้องปฏิบัติเมื่อถูกร้องเรียนมีแนวทางดังนี้
1. รับฟังข้อร้องเรียนของลูกค้า
การฟังเป็นทักษะที่พนักงานขายต้องฝึกฝน ลูกค้าอาจร้องเรียนด้วยอารมณ์โกรธ และอาจใช้ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังเท่าไรนัก แต่พนักงานที่ดีจะต้องมีความอดทน รับฟังข้อร้องเรียนของลูกค้าอย่างตั้งใจ แสดงสีหน้าและท่าทางอย่างเหมาะสม ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ ทำให้ลูกค้ารับรู้ว่าเราใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แสดงความไม่พอใจลูกค้า หรือโต้เถียงกับลูกค้า เมื่อฟังอย่างตั้งใจ พนักงานจะเข้าใจสาเหตุของการร้องเรียน และสามารถหาทางแก้ปัญหาเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าอีกครั้งหนึ่ง
2. ขอโทษในข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
พนักงานที่ดีควรกล่าวคำขอโทษไม่ว่าจะเป็นความผิดของเราหรือไม่ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ายอมรับความผิด การขอโทษช่วยทำให้อารมณ์ของลูกค้าเย็นลงได้ และเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกกับลูกค้าว่า เขาคือ คนสำคัญของเรา อย่าลืมว่าการขอโทษไม่ใช่แค่คำพูดที่ออกมาจากปากเท่านั้ แต่ยังหมายรวมถึง แววตา สีหน้า ท่าทางของคุณด้วย หากคำขอโทษไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกของคุณ ลูกค้าย่อมรับรู้ได้ว่าคุณไม่จริงใจ
3. แก้ไขและป้องกันปัญหา
เมื่อทราบสาเหตุแห่งความไม่พอใจแล้ว พนักงานควรเสนอแนวทางแก้ไขให้แก่ลูกค้า และกำหนดระยะเวลาในการแก้ไข เช่น เปลี่ยนสินค้าชิ้นใหม่ให้ลูกค้า โดยแจ้งว่า สินค้าชิ้นใหม่จะจัดส่งถึงลูกค้าเมื่อไร และหากเกินกำหนดลูกค้าสามารถติดต่อได้ที่ใคร เพื่อให้ลูกค้าสบายใจ ทั้งนี้พนักงานต้องระวังอย่าให้เกิดข้อผิดพลาดอีก เช่น ส่งสินค้าล่าช้ากว่ากำหนดที่แจ้งลูกค้าไว้ ซึ่งอาจจะทำให้ลูกค้าหมดความเชื่อถือ และอาจเลิกซื้อสินค้ากับบริษัทของคุณไปเลย
หรือในบางกรณีพนักงานอาจชดเชยด้วยการมอบสิ่งของ เช่น คูปองส่วนลดในการซื้อสินค้าแก่ลูกค้า เพื่อป้องกันการสูญเสียลูกค้ารายนั้นก็ได้
4. ติดตามผลการแก้ไขปัญหา
เมื่อได้แจ้งลูกค้าถึงแนวทางการแก้ไขแล้ว พนักงานควรมีการติดตามผล เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาได้รับการแก้ไขจนลูกค้าพึงพอใจแล้ว พนักงานควรโทรศัพท์ติดตามผลการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจถามลูกค้าว่าได้รับสินค้าชิ้นใหม่หรือยัง ใช้งานดีหรือไม่ หรือได้รับคูปองส่วนลดที่จัดส่งไปให้หรือยัง คุณจะพอทราบว่า ลูกค้ายังใช้สินค้าของคุณอยู่หรือไม่ ถ้ายังใช้อยู่แสดงว่าลูกค้ายังคงรู้สึกพึงพอใจในสินค้า และการแก้ไขปัญหาของคุณ
ทั้งนี้ทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากจะคอยตามแก้ปัญหาทุกครั้ง เพราะเหตุนี้ ควรป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นเลยจะเป็นการดีที่สุด
By Peung

4 วิธีคิดดี...ต้อนรับปีใหม่

ปีใหม่ฟ้าใหม่ เริ่มต้นใหม่ในสิ่งดี ๆ กันดีกว่า ใครที่รู้สึกว่าในปีที่ผ่านมา ชีวิตของคุณช่างน่าเบื่อ ทำงานไปวัน ๆ ไม่อะไรพิเศษสำคัญที่น่าจดจำ อย่าปล่อยให้ปีใหม่เป็นเหมือนปีก่อน ๆ เลยนะคะ ทำชีวิตให้มีความสุข ทำงานด้วยความสนุก ผูกมิตรไว้ให้มาก ๆ แล้วงานที่น่าเบื่อก็จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป งานไหนที่ว่ายากคุณก็จะผ่านมันไปได้อย่างสวยงามด้วย 4 วิธีคิดต่อไปนี้
1. เปิดรับความสุข
ความสุขอยู่ไม่ไกลเพียงคุณเปิดใจรับมันเข้ามา มองโลกในแง่ดี ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ช่างสำรวจ ค้นหาประสบการณ์ และความคิดใหม่ ๆ จากผู้คนที่คุณพบปะ ทำความรู้จักและทักทายเพื่อนใหม่ด้วยความกระตือรือร้น สะท้อนความเป็นคุณที่สนุกสนานและรื่นเริง มีความสุขกับชีวิตและสิ่งที่ทำ เพราะทุกวันคือการเรียนรู้ เดินหน้าค้นหาและทำตามความฝัน อย่างไม่ย่อท้อ แต่ก็ไม่จริงจังกับชีวิตมากเกินไปจนหมดสนุก ขาดความสุขในการทำงาน
2. รู้จักการให้อภัย
เป็นเรื่องง่ายที่จะจดจำเรื่องไม่ดีและสะสมความขุ่นเคือง คับข้องใจเอาไว้ เพราะความผิดพลาดอาจสอนคุณให้ระมัดระวังตัวและสร้างกำแพงขึ้นมา ซึ่งมันจะเป็นปราการกั้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่น ๆ อย่าพยายามตัดสิน หรือตำหนิผู้อื่น แต่จงยอมรับเขา และเขาก็จะยอมรับเราเช่นกัน เลือกจดจำแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องไม่ดีให้ทิ้งไปเสีย ในทางตรงกันข้ามการแสดงความรักโดยปราศจากเงื่อนไข จะช่วยให้คุณลดช่องว่างระหว่างคุณกับคนอื่น ๆ ได้
3. มีแต่ความจริงใจ
การที่เรามีความจริงใจให้ผู้อื่น เป็นการสร้างความสุขวิธีหนึ่ง เมื่อเรามีความจริงใจ ไม่ปิดบัง ซ่อนเร้น เสแสร้ง หรืออีโก้ กลัวเสียฟอร์ม และไม่ลังเล รีรอที่จะผูกมิตรและเป็นเพื่อนที่ดีของทุกคน คุณก็จะได้รับความจริงใจตอบแทน เพื่อนของคุณต้องการคบคุณที่เป็นตัวคุณจริง ๆ ไม่ใช่คนที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ประเภทต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างเช่นนี้ย่อมไม่มีใครต้องการจะคบด้วย เมื่อคุณไม่จริงใจ สักวันหนึ่งความจริงก็จะถูกเปิดเผย ส่งผลให้พวกเขาสูญเสียความเชื่อถือ ความไว้วางใจ ความชื่นชม และความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กับคุณตลอดมา
4. เอาใจใส่ผู้อื่น
ลองถามตัวเองว่า คุณได้ทำอะไรให้เพื่อนร่วมงานของคุณบ้าง คุณมีส่วนร่วมในความทุกข์ ความสุขของพวกเขามากแค่ไหน คุณเคยยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กับพวกเขาบ้างหรือไม่ คุณเคยทำอะไรให้เป็นที่น่าจดจำบ้างไหม คุณเป็นคนที่พวกเขาอยากเจอทุกวันหรือเปล่า คนที่คอยเอาใจใส่ผู้อื่น ให้ความสำคัญกับผู้อื่น จับอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาได้ มีน้ำใจ แสดงความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และให้กำลังใจพวกเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนรัก ทำอะไรก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ สนับสนุนให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่ต้องกลัวเหงา หรือโดดเดี่ยว
เพราะชีวิตที่มีความสุขไม่ได้วัดที่ตัวเงินเสมอไป เพียงคุณมีความรักในสิ่งที่คุณทำ รู้จักการให้อภัย มีความจริงใจ และเอาใจใส่ผู้อื่นอยู่เสมอ คุณก็สามารถมีความสุขได้ง่าย ๆ เริ่มต้นปีด้วยความคิดดี ๆ เพื่อชิวิตที่มีความสุข สนุกกับการทำงาน ไปตลอดทั้งปีใหม่นี้

By Peung

ทักษะของคนทำงานมืออาชีพ

ทักษะของคนทำงานมืออาชีพ
การแข่งขันในโลกธุรกิจนั้น ยิ่งอยู่ในองค์กรใหญ่การแข่งขันยิ่งสูงมากขึ้น ใครที่อยากได้งานดีในบริษัทชื่อดังต้องขวนขวายให้มาก หมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน ใครเตรียมตัวมาดีมีพื้นฐานแน่นย่อมได้เปรียบ มีโอกาสได้งานสูง และเมื่อได้เข้าทำงานแล้วก็ยังคงต้องแข่งขันเพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะหากใครเชื่องช้า คงหาโอกาสก้าวหน้าได้ยาก ทักษะที่จำเป็นต่อการแข่งขันของคนทำงานในปัจจุบันได้แก่ ทักษะในการฟัง ทักษะในการการเขียน ทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ ทักษะในการจัดการปัญหา และทักษะในการจัดการกับเวลา เพราะฉะนั้นผู้หางานจึงควรเตรียมตัวให้พร้อม ฝึกฝนและพัฒนาทักษะทั้งหลายเหล่านี้ให้มีพร้อมอยู่ในตัว เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้อย่างมั่นใจ
1. ฟังให้เข้าใจ
ทักษะในการฟังที่ดีจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ฟังหัวหน้าสั่งงานเข้าใจ คุยกับเพื่อนร่วมงานรู้เรื่อง คุยกับลูกค้าราบรื่น เมื่อฟังเข้าใจก็สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถคิดแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ทักษะนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานเป็นทีมเวิร์กที่คนในทีมจะต้องฟังกันให้เข้าใจในวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และวิธีการทำงานของทีม สมาชิกในทีมจึงจะสามารถทำงานประสานกันได้อย่างราบรื่นลงตัว
2. เขียนให้ชัดเจน
ไม่ว่างานของคุณกำหนดให้คุณต้องใช้ทักษะการเขียนในรูปแบบใด เพียงจดบันทึกข้อความสั้น ๆ หรือการเขียนรายงานเต็มรูปแบบ หัวใจของการเขียนก็คือการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ สามารถส่งสารไปยังผู้รับหรือผู้อ่านได้อย่างครบถ้วนชัดเจน ก่อนจะเขียนจึงควรจัดลำดับความสำคัญของประเด็นต่าง ๆ ที่คุณต้องการจะบอก เรื่องไหนสำคัญและเร่งด่วนให้เอาขึ้นก่อน อีกทั้งยังต้องรู้จักการสรุปใจความสำคัญ รวมถึงการแจกแจงอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยในประเด็นต่าง ๆ เป็นข้อ ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้รับง่ายขึ้น
3. เทคโนโลยีอย่าให้ล้าหลัง
เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์พื้นฐานอาจไม่เพียงพอ Microsoft Office อย่างเช่น Word, Excel, PowerPoint, Outlook แบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่ช่วยให้คุณสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ต้องรู้จักลูกเล่นใหม่ ๆ หรือการใช้งานในระดับที่สูงขึ้น รู้ลึกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณทำงานได้สะดวกรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้การรู้ลึกซึ้งในโปรแกรมเฉพาะของแต่ละสายงานก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานในสายงานนั้น ๆ ด้วย ในโลกออนไลน์ก็มีหลายโปรแกรมที่จำเป็นต้องเรียนรู้ อินเทอร์เน็ตจำเป็นมากต่อการค้นหาข้อมูลอย่างฉับไว ทันใจทันความต้องการ เพราะข้อมูลมากมายอยู่เพียงปลายนิ้วคลิกเท่านั้น นอกจากนี้การรับ-ส่งอีเมล รวมถึงการจัดระเบียบอีเมลก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี
4. จัดการกับปัญหาได้ เมื่อถึงช่วงเวลาคับขันที่ต้องตัดสินใจจัดการกับปัญหา คนที่สามารถประเมินสถานการณ์หรือเข้าใจปัญหาได้เร็ว ไหวตัวเร็ว คิดแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและทันท่วงที จะเป็นผู้ที่โดดเด่นออกมาจากคนอื่น ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" หากคุณฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหาอยู่ตลอด คุณก็จะเป็นคนคิดไว ถี่ถ้วน รอบด้าน และสามารถคิดแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ทันท่วงที และอาจได้เป็นวีรบุรุษในสถานการณ์หนึ่งก็ได้
5. จัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม
เมื่อคุณต้องทำงานหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสมจะทำให้คุณผ่านพ้นช่วงวุ่น ๆ ที่รู้สึกว่างานล้นมือได้อย่างไม่ยากเย็นนัก การจัดสรรเวลาทำได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะต้องทำ อันไหนควรทำก่อน อันไหนรอได้ หรืออันไหนสามารถมอบหมายให้คนอื่นทำได้ จัดระเบียบโต๊ะทำงานให้สามารถหยิบจับเอกสารที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้คุณไม่เสียเวลาไปกับการค้นหาเอกสารเพียงแผ่นเดียวจากกองเอกสารมากมายบนโต๊ะทำงาน ที่สำคัญที่สุดคือการมีงานส่งตรงเวลา อีกทั้งยังมีเวลาเหลือสำหรับการตรวจทานและแก้ไขข้อผิดพลาดก่อนส่งงานอีกด้วย คนทำงานมืออาชีพต้องไม่หยุดเรียนรู้ พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรยากเกินไป ถ้าตั้งใจฝึกฝน ทักษะเหล่านี้จะติดตัวคุณไป ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหนก็สามารถแข่งขันกับคนอื่น ๆ ได้เสมอ

By Peung

6 หนทางหางานฝ่าวิกฤติ

Start Your Career 6 หนทางหางานฝ่าวิกฤติ โดย JobsDB มกราคม 2552
วิกฤติการเงินโลก รวมทั้งปัญหาภายในประเทศของเรา ส่งผลต่อการทำธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคาดกันว่าในปี พ.ศ. 2552 นี้จะมีคนว่างงานหลายแสนคน ผู้หางานจึงต้องใช้ความอดทน และความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้หางานจำนวนมาก และได้งานที่ใช่สำหรับแต่ละคนโดยเร็ว ในวันนี้เราจึงมีคำแนะนำในการหางานในภาวะเศษฐกิจถดถอยมาฝาก
1. เลือกงานที่คุณสนใจจริง ๆ
คนที่สมัครงานแบบสะเปะสะปะ อะไรก็ได้ขอให้ได้ทำ ไม่ใช่ลักษณะของคนที่จะประสบความสำเร็จ เพราะเขาไม่ได้ทำงานที่เขาต้องการจะทำจริง ๆ งานเหล่านั้นเป็นเพียงงานที่ทำเพื่อคั่นเวลา สำหรับการมองหางานที่เขาสนใจและต้องการจะทำ เมื่อไม่มีใจรักในงานที่ทำ แน่นอนความทุ่มเทให้กับงานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความสนใจใฝ่รู้ ต้องการพัฒนางาน พัฒนาตนเองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากเป็นตัวคุณ เหตุใดเล่าคุณจึงยอมเสียเวลาไปกับสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ ในขณะที่บริษัทก็เสียเวลา เสียงบประมาณในการว่าจ้างพนักงานเช่นกัน หากคุณเลือกสมัครงานที่คุณสนใจ มันจะเป็นแรงผลักดันให้คุณพยายามทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อแสดงให้นายจ้างเห็นว่า คุณเป็นคนที่ใช่ และสามารถทำประโยชน์ให้บริษัทได้มากมาย ในขณะเดียวกันความกระตือรือร้นในการทำงานจะส่งผลให้คุณสามารถพัฒนาการทำงานได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย และหากคุณเลือกแล้ว คุณสามารถส่งใบสมัครเข้าไปได้เลย ไม่ว่าบริษัทนั้นจะเปิดรับสมัครงานหรือไม่ก็ตาม เป็นการแสดงให้นายจ้างเห็นความตั้งใจจริงของคุณที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทที่คุณใฝ่ฝัน
2. มุ่งไปยังอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต
ในช่วงภาวะวิกฤติ คุณจำเป็นต้องติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินใจ หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะปลดพนักงานมากกว่าจะจ้างพนักงานใหม่เสียอีก เลือกอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกผลกระทบมากนักน่าจะปลอดภัยและมั่นคงมากกว่า
3. ใช้ประโยชน์จากเครือช่าย
การผูกมิตร และทำความรู้จักคนไว้ให้มาก จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการหางาน ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนเก่า รุ่นพี่ รุ่นน้อง คู่ค้า หรือลูกค้าสามารถช่วยคุณได้ทั้งนั้น ยิ่งในสังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ การที่มีคนรู้จักอยู่ในบริษัทที่คุณสมัครจะช่วยการันตีฝีมือ และนิสัยใจคอของคุณ ทำให้โอกาสในการได้งานมีมากกว่าคนที่ไม่รู้จักใครเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ทำให้คนที่สนับสนุนคุณต้องมีปัญหาภายหลัง เพราะคุณไม่ได้ดีอย่างที่คุยไว้ ซึ่งอาจทำให้ผิดใจกันไปเลยก็ได้
4. นำเสนอตัวคุณให้โดดเด่น
เริ่มตั้งแต่ในจดหมายสมัครงาน ในเรซูเม่ ไปจนถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์ ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ หากจดหมายสมัครงานและเรซูเม่ใม่น่าสนใจ โอกาสที่จะได้เข้าไปสัมภาษณ์ก็ดูจะเลือนราง แต่หากคุณตั้งใจนำเสนอตัวคุณให้เหมาะกับงานที่สมัคร โอกาสจะได้เข้าไปสัมภาษณ์ย่อมมีมากกว่า แต่ละบริษัทมีความต้องการที่แตกต่างกัน ผู้สมัครส่วนใหญ่ที่ส่งเรซูเม่ไปแล้ว ไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเป็นเพราะเขามักจะใช้ส่งเรซูเม่ฉบับเดิมไปยังทุกบริษัทที่เขาสมัคร ซึ่งไม่ได้เป็นการตั้งใจเขียนให้เหมาะกับคุณสมบัติที่บริษัทนั้นต้องการอย่างชัดเจนจึงพลาดโอกาสไป ในขณะที่บางคนมีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์งานแต่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถามต่าง ๆ จึงพลาดโอกาสไปอีกเช่นกัน ฉะนั้น หากคุณจะต้องไปสัมภาษณ์งาน คุณควรเตรียมพร้อมโดยการทำรายการคำถามที่มักจะถูกถาม แล้วเตรียมคำตอบไว้ให้พร้อม รวมทั้งศึกษาข้อมูลของบริษัทไว้ด้วย เพื่อแสดงว่าคุณมีความสนใจในบริษัทเขาจริง ๆ และเมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง อย่าลืมส่งจดหมายขอบคุณไปยังผู้ที่สัมภาษณ์คุณด้วย
5. รับงานอิสระหรืองานชั่วคราว
บางบริษัทอาจลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานประจำ แล้วหันมาจ้างพนักงานฟรีแลนซ์และพนักงานชั่วคราวแทน นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคุณ ถ้าเป็นงานที่คุณชอบก็อย่าลังเลใจที่จะรับงานเช่นนี้ แม้จะไม่ได้เป็นพนักงานประจำ แต่ก็มีโอกาสที่จะได้บรรจุเมื่อบริษัทพร้อมเปิดรับพนักงานประจำอีกครั้งหนึ่ง
6. เพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอ
หากคุณหางานมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที คุณอาจรู้สึกท้อใจ แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง คุณอาจใช้เวลาว่างของคุณในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และความสามารถในการทำงาน เช่นเรียนภาษาอังกฤษ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออื่น ๆ ที่คุณสนใจ ความรู้และทักษะที่เพิ่มขึ้นมาอาจทำให้คุณหางานได้ไวขึ้นกว่าเดิมก็ได้ แม้ว่าผู้หางานอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝ่าวิกฤติพิชิตงานให้ได้ แต่หากผู้หางานคิดบวก และมีความหวังอยู่เสมอ ย่อมจะประสบความสำเร็จในการหางาน ได้ทำงานในฝันสมใจ
By Peung

Sunday, January 4, 2009

สิ่งที่คุณจะได้รับในการอบรม Mind Map




สิ่งที่คุณจะได้รับในการอบรม Mind Map
1. ทำให้คุณเห็นถึงภาพรวมกว้าง ๆ ของหัวข้อใหญ่ หรือขอบเขตของเรื่อง
2. ทำให้คุณสามารถวางแผนเส้นทาง หรือตัดสินใจได้อย่างมี สติ เพราะคุณรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหน กำลังจะไปไหน หรือผ่านอะไรมาแล้วบ้าง
3. สามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ลงไว้ในที่เดียวกันได้
4. กระตุ้นให้คิดแก้ไขปัญหา โดยเปิดโอกาสให้คุณมองเห็นวิธีใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์สร้างความเพลิดเพลินในการอ่าน และง่ายต่อการจดจำ
มีอีกเยอะ อยากรู้ถามคนที่เค้าเคยเรียน ใช้อยู่และพยายามจะเรียนรู้ค่ะ