Wednesday, December 26, 2007

กรุ๊ปเลือด..ตรงป่ะ

> >กรุ๊ปเลือด A สิ่งที่ควรทำ > >1.ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง > >2.วางแผนการที่จะทำในแต่ละวัน 3.หาเวลาพักระหว่างวันทำงานอย่างน้อย 2 ช่วงๆ ละ > >20 นาที ใช้เวลานั่งคิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆ 4.รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ > >5.บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้าและลดปริมาณลงในมื้อเย็น > >6.ไม่ควรกินเมื่อรู้สึกหงุดหงิด 7.เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็กๆ 6 มื้อ > >ต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะจำนวนครั้งที่ถี่มาก > >ขึ้นช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น 8.หาเวลาครึ่งชั่วโมงฝึกจิตใจให้สงบสัก > >3 ครั้งต่อสัปดาห์ 9.หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ > >10.เคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น กินอย่างไร > >คนที่มีกรุ๊ปเลือด A ควรงดนมสดรวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส > >เพราะจะทำให้รู้สึก แน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ > >หันมารับประทานผักใบเขียวและใบเหลืองอย่างฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ > >และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลืองซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและ > >ช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย > >ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไปเพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้ > >จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดในกระเพาะอาหารที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ > >ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล > >คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด > >และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง > >อาหารเช้าควรอุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A > >อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด > >และไม่ควรอดอาหารเพราะจะก่อให้เกิดความเครียดได้ ออกกำลังกาย คนกรุ๊ปเลือด A > >จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก > >เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณสูง > >แต่ฮอร์โมนดังกล่าวสามารถลดลงถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งๆหนึ่ง > >อย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ จัดการกับอารมณ์ 1. > >ระบายความรู้สึกออกมาถ้าต้องการอย่าเก็บกดเอาไว้ 2. > >ก่อนจะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่นต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ 3. > >เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจการผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้เกิดความเครียดได้ 4. ใน 1 > >เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบๆ เพียงลำพัง 5. หากออกกำลังกาย > >อย่าหักโหมต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย กรุ๊ปเลือด B สิ่งที่ควรทำ 1. > >สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จิตนาการเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะพาไป > >สู่ความสำเร็จได้ในยามว่างควรฝึกใช้จินตนาการเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย 2. > >สังสรรค์สมาคมกับเพื่อนๆ คนรอบข้างหรือร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น > >สิ่งนี้จะเป็นโอกาสช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ็อันดีในกลุ่มให้กับคุณ 3. > >จงทำตัวให้เป็นธรรมชาติ กินอย่างไร ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B > >ควรบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมัน หลายๆ ครั้งใน 1 > >สัปดาห์เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี > >ไม่ควรบริโภคอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ > >แต่นมและผลิตภัณฑ์จากนมกลับเหมาะสำหรับคนกรุ๊ปเลือด B เป็นอย่างมาก > >ออกกำลังกาย ผู้มีกรุ๊ปเลือด B ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจ > >กิจกรรมที่เหมาะต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส > >ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ จัดการกับอารมณ์ คนกรุ๊ปเลือด > >B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ก็จะสามารถขจัดความเครียด > >และความวิตกกังวลลงได้ > >แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ในสภาวะสมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น > >และทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาการเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน > >จิตใจมัวหมองและภูมิคุ้มกันบกพร่อง สิ่งที่ต้องทำ คือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอล > >ที่ร่างกายหลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด > >ด้วยการทำสมาธิและการใช้จินตนาการหากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ > >ซึ่งไทชิจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดนอกจากช่วยลดความเครียดแล้วยังลดความดันโลหิต > >และทำให้รู้สึกผ่อนคลายช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น > >และอาจฟังดนตรีแนวที่ช่วยลดความเครียดหรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ > >กรุ๊ปเลือด AB สิ่งที่ควรทำ 1. ฝึกฝนนิสัยเป็นมิตรของคุณโดยเปิดรับสิ่งใหม่ๆ > >รอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูง 2. > >เลิกหมกมุ่นกับปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ 3. > >ฝึกใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน 4. > >มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุโดยกำหนดเป็นรายปีเดือน > >สัปดาห์หรือต่อวัน 5. ค่อยๆ > >เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน > >กินอย่างไร ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB > >ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดงและไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ > >เนื่องจากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารและน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย > >ทำให้ย่อยอาหารได้ยากเปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ > >และผักแทน อาหารที่ควรเลี่ยง สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A และ B > >ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วยกัน เช่น ไม่ควรบริโภค คาเฟอีน > >และแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย หลั่งสารอะดรีนาลีน > >และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนกรุ๊ปเลือด AB มีมากอยู่แล้ว > >ไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด ออกกำลังกาย ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB > >ควรทำกิจกรรมทั้งประเภทที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่งและใช้แรงมาก เช่น โยคะและ > >การเต้นแอโรบิค จัดการกับอารมณ์ 1. > >วางแผนล่วงหน้าว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยลดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและไม่ให้เกิดความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก > >2. > >หยุดพักในวันทำงานด้วยการทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะถ้างานของคุณต้องนั่งอยู่กับที่ > >เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น 3. > >ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้างเพราะคนกรุ๊ปเลือดนี้มีพื้นฐานเป็นคนใจบุญสุนทาน > >และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลกซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงินหรือสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้ > >กรุ๊ปเลือด O สิ่งที่ควรทำ 1. > >มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน > >สัปดาห์หรือต่อวัน 2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ > >และอย่าใช้เงินเมื่อเกิดความรู้สึกเครียด 3. > >หากรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิดพยายามทำให้ร่างกายเกิดความเคลื่อนไหว 4. > >เมื่อเกิดความอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ > >สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้เกิดความสุขในระยะแรกเท่านั้น > >ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน กินอย่างไร > >อาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดO > >ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่างๆให้มาก ยกเว้นหมู > >นมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก > >จำกัดปริมาณการบริโภคถั่ว > >รับประทานผักผลไม้ให้มากและเปลี่ยนมาดื่มชาเขียวแทนกาแฟ ออกกำลังกาย > >คนมีกรุ๊ปเลือด O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอจะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น > >การเต้นแอโรบิค วิ่งหรือปั่นจักรยาน ครั้งละ 30 - 45 นาที ประมาณ 3 > >ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะสมดุลของอารมณ์ จัดการกับอารมณ์ 1. > >กำหนดแผนการว่าจะทำอะไรเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคนกรุ๊ปเลือด O > >รู้สึกเบื่อพวกเขามักทำอะไรเสี่ยงๆ 2. > >ฝึกรับมือกับความโกรธด้วยวิธีการดังนี้เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ > >ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลังหรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา > >รอจนกว่าจะหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา > >อีกวิธีคือเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา > >บ่อยครั้งความโกรธมีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถในการควบคุม > >เมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา > >ก็จะสามารถควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้

ขำๆกะผี

วีธีเเกเเค้นผีเเบบเด็ดๆ จริงๆนะ


• อย่านอนเตียงที่มีใต้เตียงโล่ง ถ้ากลัวมากๆก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทน ปล่อยผีนอนบนเตียงไป• ถ้ากลัวผีช่องแอร์ให้เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน• ถ้ากลัวไฟปิดเปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวง เช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง ก็ให้เปิดมันทิ้งไว้• ถ้าอยู่ดีๆได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูนมาดม• ถ้าอยู่ดีๆได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง• ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี• ถ้าเพื่อนโดนผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจผีก็จะเซ็งออกไปเอง• ถ้ามีเงาอะไรผ่านหน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆหน้าต่าง ทำเงาผ่านย้อนไปบ้าง• ถ้ากลัวจะมีใครมายืนอยู่ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ปลายเตียง (ดูซิจะไปยืนไหน)• ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่าสามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน สาขาอะไร รับบัตรเครดิตหรือเปล่า?• ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ• ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้านบอกให้ผีไปทำเรื่องย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน• ถ้าไปแถวพัทยา อย่าลืมเอา Dict ไปด้วย เพราะอาจเจอผีฝรั่ง• ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง (ในกรณีที่เป็นชั้น 3 ขึ้นไป)ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง• ถ้าอยู่ดีๆน้ำฝักบัวที่อาบกลายเป็นเลือด ให้เอาถุงมารอง แล้วนำเลือดไปขายตามโรงพยาบาล• ถ้าอยู่ดีๆภาพหน้าตัวเองในกระจกเป็นหน้าผี อย่าตกใจ ให้รีบหาสีเมจิกมา 1แท่ง แล้วเติมหนวดลงไปในกระจก• ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผีในตู้เสื้อผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า "ที่หมานอน"• กลัว ผีนั่งทับตัวกลางดึก ให้นอนคว่ำหน้า (ถ้าคิดว่าจะหายใจไม่ออก ให้ใส่ถัง*ผม*)หลังจากนี้ต่อให้ผีมานั่งทับก็จะไม่อึดอัด แถมยังสบายตัวคล้ายนวดกดจุด• ถ้ากลัวผีในลิฟท์ ให้ยกของหนักๆไปด้วย ผีจะตามมาด้วยไม่ได้เพราะน้ำหนักจะเกิน• ถ้าถ่ายรูปแล้วติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก• ถ้าคุณเริ่มเอะใจว่าผู้หญิงที่โบกรถมากับคุณจะเป็นผีหรือเปล่า ให้เรียกเก็บค่าโดยสารก่อนที่เธอจะหายไป• ถ้าคุณเห็นภาพผู้หญิงอยู่บนกระจกรถ แวะเข้าปั๊ม แล้วเรียกเด็กมาเช็ดกระจก> > • ถ้าอยู่ดีๆคุณเห็นคนนั่งมาตรงเบาะหลังบนกระจกมองหลัง ถามไปว่า "สรุปไปพัฒพงษ์" ใช่ไหมครับ?• ถ้าคุณพบผีเปรตในวันฝนฟ้าคะนอง ให้ก้มตัวต่ำ ฟ้าจะผ่าโดนผีก่อนถ้าคุณทำตามนี้ได้หมดผีจะไม่มาหลอกคุณเลยเพราะเชื่อได้เลยว่าคุณบ้ากว่าผีอีก!!!อ่านขำๆนะ เห็นหลายคนกำลังเครียด

แฟนเรานะ

40 เรื่องรักที่ควรรู้ - เคยอ่านกันยังเอ่ย ?> > 1.อารมณ์หึงเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง> >แต่อารมณ์หึงของผู้หญิงจะซับซ้อนกว่าผู้ชาย> > 2. ผู้ชายร้อยละ 90 ชอบผู้หญิงสวย น่ารัก แต่ผู้ชายร้อยละ 100> >อยากอยู่กับผู้หญิงฉลาดและเฉลียว> > 3.คนที่มีแฟนขี้หึงขั้นรุนแรงมีเพียง0.000001เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ชอบ> >นอกนั้นรู้สึกว่าอึดอัด ผู้ชายทั้ง> > หลายควรจะดีใจที่มีแฟนขี้หึงซะ> > 4.ไม่เคยมีคู่ไหนไม่ต้องใช้ความอดทนในการรัก> >เพียงแต่จะเป็นการอดทนในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง> > 5.คนที่มีกิ๊กนอกเหนือจากแฟนตัวจริง คือคนที่ไม่ศรัทธาในความรัก> > 6.อย่ากลัวการอกหัก เพราะไม่เคยมีใครตายจากโรคอกหัก> >มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่ทำให้ฆ่าตัว ตาย> > 7.ความรักมักไม่เกิดตอนที่เฝ้ารอ แต่เมื่อปล่อยตัวตามสบาย> >ความรักมักจะมาทำเซอร์ไพรส์ให้หัวใจ> > 8. ถึงจะไว้ใจเพื่อนแค่ไหน> >ก็อย่าให้เพื่อนกับแฟนของเราสนิทกันเกินไปเพราะหายนะอาจตามมา> > 9.ถ้าเรารู้สึกอายเวลาเดินเคียงข้างแฟนที่ขี้เหร่> >นั่นหมายความว่าเราไม่ได้รักเค้าจริง> > 10.อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า "> >แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม"> > 11.ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้หึงขั้นรุนแรง> >อย่าได้เลือกคบผู้ชายที่หน้าตาและมนุษยสัมพันธ์ดีเด็ดขาด> > 12.การที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวย เซ็กซี่ จนเหลียวหลัง> >ไม่ได้หมายความว่าเข้าต้องการแฟนที่เป็นแบบ นั้น> > 13.ผู้ชายที่ไว้ใจได้ว่าไม่นอกใจแฟนหรือภรรยา> >มีเพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ในโลงเท่านั้น ควรจำให้ขึ้นใจ> > 14.พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่ามากกว่าผู้หญิงที่แย่งแฟนเราไป> >แล้วซักวันแฟนเราจะกลับมาเอง> > 15.อย่าคบกับผู้ชายที่เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูดเสียๆหายๆ> >เพราะเราอาจจะเป็นรายต่อไป> > 16.ผู้ชายที่รักสัตว์ รักเสียงเพลง รักครอบครัว> >น่าคบมากกว่าผู้ชายที่รักตัวเองซะอีก> > 17.อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดเสปกชายในฝันลง> >แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดคือความดีและความจริงใจ> > 18.ผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกิน> >ดูน่ารังเกียจกว่าผู้หญิงที่ชอบปอกลอกผู้ชายหลายเท่า> > 19.มนุษย์ผู้ชายมีน้อยกว่ามนุษย์ผู้หญิง> >ผู้ชายที่ดีและเป็นโสดก็มีน้อยกว่าผู้ชายที่เลวและมีเจ้าของด้วย> > 20.อย่ารักผู้ชายที่ทั้งขี้เหร่ ขี้เกียจ และขี้เมา> >เพราะเราจะต้องรู้สึกตกนรกไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน> > 21.คู่รักที่เดินกอดจูบกันต่อหน้าชุมชน> >มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะถูกประณามและดูถูกอย่างรุนแรง> > 22.เซ็กส์ไม่สามารถผูกมัดให้คู่รักอยู่ด้วยกันไปตลอด> >ความผูกพันต่างหากที่จะดึงรั้งกันไว้ได้> > 23.อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าความคิดหัวใจตรงกัน> >ความมั่นคงก็เกิดขึ้นได้> > 24.ในชีวิตจริงของความรัก เราอาจไม่ใช่นางเอกที่แสนดี> >บางทีต้องมีการใช้ไหวพริบในการแย่งชิงบ้าง> > 25.คนสวยหรือคนหล่อสามรถอกหักได้เหมือนกัน> >ถ้าทำตัวไม่ดีหรือมีเวลาให้กับความรักไม่พอ> > 26.ถึงจะได้ยินว่ามีรักที่ไหนมีทุกที่นั่น> >แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะมีความรักมากกว่าจะอยู่เป็นโสด> > 27> >เรื่องที่แฟนไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกมักเป็นเรื่องที่เรารู้เมื่อไหร่ก็ต้องคว> >นออกหูอยู่ดี> > 28.ถ้าชื่นชมในตัวแฟน100เปอร์เซ็นต์ ควรบอกเค้าแค่70เปอร์เซ็นต์> > 29.ถึงผู้ชายจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า> >แต่ผู้ชายก็ไม่ชอบคนที่หน้ามันหรือซีดตลอด> > 30.ผู้ชายชอบติรูปร่างของแฟนหรือคนโน้นคนนี้> >โดยลืมดูรูปร่างตัวเองว่าแย่ขนาดไหน> > 31.คนต่างชาติต่างภาษาสามารถรักกันได้> >เพราะภาษาหัวใจเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องการคำแปล> > 32.ผู้ชายต้องใช้สมองและทักษะมากขึ้นในช่วงที่มีความรัก> >เพราะผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ> > 33.ผู้ชายชอบเป็นฝ่ายไล่ล่า มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกล่า> >ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะพยายามหนีเมื่อถูกตามตื้อ> > 34.ผู้หญิงอาจไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขึ้น> >แต่เป็นเพราะผู้ชายไม่สามารถทำดีได้เสมอต้นเสมอปลาย> > 35.รักแรกพบสามารถเกิดได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเกิดจากการใกล้ชิด> >และการเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้ง> > 36> >คนที่เรารักกับคนที่รักเราอาจไม่ใช่คนเดียวกันเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราบังคับห> >วใจกันไม่ได้จริงๆ> > 37> >ทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อได้มีความรักและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหลังจากอกหั> >> > 38.มือที่สามสามารถเดินเข้ามาในชีวิตเราได้ตลอดเวลา> >ในความไว้ใจจึงควรมีความระวังอยู่ด้วย> > 39.อย่ารีบมีแฟนหลังจากอกหัก> >เพราะเราจะแยกแยะไม่ออกว่านั่นเป็นรักหรือการฆ่าเวลา> > 40> >คนที่รักกันไม่จำเป็นต้องเดินจับมือหรือคุยกันตลอดทางแค่รู้สึกว่ามีกันและกันก็เ> >ียงพอ

ดูดีๆก่อนซื้อ

ข้อมูลข้างล่างนี้สำหรับผู้ที่ใช้ ลิปสติค และ แหวนทองคำ ยากที่จะคิดว่าสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หากลิปสติค ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ? ตราสินค้าไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ตราสินค้าที่มีชื่อว่า "Red Earth" ได้ลดราคาสินค้าจาก $67 ลงมาเหลือเพียง $9.90 เนื่องจากพบว่ามีตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งตะกั่วเป็นสารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง ตราสินค้าที่คาดว่าจะมีตะกั่วเป็นส่วนผสม คือ : 1. CHRISTIANDIOR 2. LANCOME 3. CLINIQUE 4. Y.S.L 5. ESTEELAUDER 6. SHISEIDO 7. RED EARTH (Lip Gloss) 8. CHANEL (Lip Conditioner) 9. MARKET AMERICA - MOTNES LIPSTICK สินค้าที่มีตะกั่วเป็นส่วนผสมยิ่งมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้น หลังจากการทดสอบลิปสติคหลายแท่ง พบว่า ลิปสติคของ Y.S.L. มีส่วนผสมเป็นตะกั่วมากที่สุด ระวังการใช้ลิปสติคที่ติดได้ทนนาน เพราะลิปสติคที่ติดได้ทนนานของคุณมีส่วนผสมของตะกั่วอยู่นั่นเอง คุณสามารถทำการทดสอบได้ด้วยตัวเองโดย :- 1. ทาลิปสติคลงบนมือของคุณ 2. ใช้แหวนทองคำถูลงบนลิปสติคนั้น 3. ถ้าลิปสติคเปลี่ยนเป็นสีดำ 4. คุณก็รู้ได้ว่าลิปสติคนั้นมีส่วนผสมของตะกั่ว โปรดส่งข้อความนี้ไปยังเพื่อนผู้หญิง , ภรรยา และ สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี

r u reMeMber ?

หากคุณ อายุ 22- 40 ปี คุณอาจจะจำเพื่อนเก่าเหล่านี้ของคุณได้วันนี้ผมขอพามาย้อนอดีตรำลึกอุปกรณ์พวก Gadget และการสื่อสารที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของเทคโนโลยีจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แหม! ดูทีไรมันอดอมยิ้มไม่ได้ซินะ พอดีผมไปค้นเจออุปกรณ์เก่าๆในบ้านสมัยเด็กๆเข้าให้เลยเป็นแรงบัลดาลใจให้ทำเป็นเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมา เพราะทุกครั้งเวลาไปเจออุปกรณ์เก่าๆทีไรมักทำให้อดคิดถึงเรื่องราวตอนที่ใช้งานมันทุกที สรุปแล้วใครที่เข้ามาอ่านบทความในวันนี้ ผมจะบอกว่าคุณเริ่มแก่แล้วนะ อิอิ กลายเป็นบทความรวมพลคนสูงอายุไปในตัวเลยก็แล้วกัน
ชิ้นที่ 1 Game and watch จุดกำเนิดความฝันยามเด็กของเล่นยอดฮิตของเด็กสมัยยุค 80 ไปโรงเรียนต้องแอบพกพาไปเล่นด้วย ผมเคยร้องกระจองอแง รบเร้าให้พ่อซื้อให้ ร้องจนคอแห้งไปหลายวัน ในที่สุดก็ได้ ฮ่าๆๆ เด็กนิสัยไม่ดี ซื้อแถวของถมในสมัยนั้นในราคา 500 บาท ปัจจุบันนี้ยังเก็บรักษาเป็นอย่างดี Game and watch ในปัจจุบันได้พัฒนากลายมาเป็นเครื่องเล่นเกมส์พกพาสารพัดรูปแบบ แม้กระทั่ง Sony PSP หรือ Nintendo DS Liteมันคือของเล่นสุดยอดความฝันของเด็กยุคนั้นจริงๆ ถ้าใครมีเล่นและได้จับจองเป็นเจ้าของจะรู้สึกดูเท่ห์พิกล ก็ในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์มันยังไม่มีนี่ครับ เล่นแต่เกมส์เศรษฐีแบบเป็นกระดานกระดาษ ที่ต้องเอาแบ๊งค์ปลอมๆไปซื้อ โฉนดที่ดิน กับโรงแรม พอเจอเจ้า Nintedo แบบนี้เข้าไปเลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเด็กยุคนั้น ชิ้นที่ 2 Family Computer หรือ Famicom สุดยอดของเล่นที่เด็กทั่วโลกอยากครอบครองเป็นเครื่องเล่น VDO Game ที่ฮิตต่อมาจาคยุคสมัยของอาตาริ และเป็นต้นกำเนิดตัวละครมาริโอที่โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ในสมัยก่อนจำได้ว่าเครื่อง Famicom เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว ราคาเริ่มต้นที่เครื่องละ 3200 บาทแถมเกมส์สุดติงต๊อง 24Kb ให้หนึ่งตลับ เป็นVDO เกมส์ในยุคพลิกประวัติศาสตร์สามารถเปลี่ยนตลับเกมส์และภาพมีความสวยสดงดงาม มีเกมส์ให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่ 24 k , 48 , 64k , 128k และ 256 k หาก K ยิ่งสูงเกมส์ก็จะยิ่งสนุกเพราะมีเรื่องราวและกราฟฟิคที่บรรจุได้เต็มรูปแบบ ในสมัยนั้นหากใครจะซื้อเกมส์คงต้องรวยเอามากๆ โดยเฉพาะตลับเกมส์ที่มีแต่ของแท้ ทำให้เกิดธุรกิจแลกเปลี่ยนเกมส์ขึ้นมา ยังจำร้านม้าไม้ และร้านมาริโอที่ มาบุญครองได้ไหมครับ มันคือแหล่งความฝันของเด็กๆที่ไปยืนเกาะตู้กระจกดูเช้าดูเย็น แต่หากเสาร์อาทิตย์ว่างๆก็ตลาดปีนังแถวคลองเตยเลยครับแหล่งเกมส์มันส์ๆมีร้านให้แลกเกมส์เพียบ สำหรับใครที่พอจะมีตังค์มากหน่อยก็อาจจะซื้อ Disk system มาเสริมกับ Famicom ซึ่งจริงๆมันก็คือ Drive A ธรรมดานี่แหละกับแผ่น Disk ที่คล้ายๆกับของ PC ที่เราใช้งานกันอยู่ แต่ Disk system แบบนี้สามารถใช้ถ่านหรือหม้อแปลงก็ได้ และที่สำคัญเกมส์มันจะสนุกและถูกกว่าซื้อตลับเยอะเลย ในสมัยนั้นจำได้ว่าบ้านไหนมี Famicom รับรองว่าคุณจะเป็นคนที่เพื่อนรักที่สุดในกลุ่มเลยหละ แล้วเสาร์อาทิตย์หรือหลังเลิกเรียนที่บ้านก็จะมีเพื่อนมาร่วมสุมหัวจนค่ำ มากันเพียบหัวกระไดไม่แห้ง ยิ่งกว่าโดนสเน่ห์ยาแฝดซะอีกจนมาปัจจุบัน Nintendo กลายมาเป็นรุ่น Wii ที่พัฒนากันมาไกลจากยุค Famicom มากทีเดียว คิดถึงสูตร 30 ตัวของเกมส์คอนทราจริงๆเลย ขึ้นๆลงๆซ้ายขวา ซ้ายขวา A B Start อิอิ!
ชิ้นที่ 3 ตุ๊กตาเด็กยืนฉี่ โดนซะ!มันเป็นของเล่นยุค 80 ที่เอาแกล้งเพื่อนได้เป็นอย่างดี โดยเอาน้ำใส่ตรงในส่วนที่ฐาน แล้วแกล้งให้เพื่อนลองดึงกางเกงเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ลงมา มันก็จะฉี่ใส่หน้าคนดึง เป็นตุ๊กตาที่ผมเชื่อว่าหลายๆคนในที่นี้ต้องเคยเป็นเจ้าของมาก่อนแน่ๆ เลย ว่าแต่ตอนนี้มันไปอยู่ไหนเสียแล้วหละ?
ชิ้นที่ 4 กล้องฉายภาพสไลด์ View Master อุปกรณ์หลอกเด็กหลังเลิกเรียนอันนี้เป็นของเล่นอีกชิ้นหนึ่งที่เด็กยุคก่อนต้องเคยเป็นเจ้าของหรือเคยเล่นมาก่อนเป็นกล้องที่เอาภาพสไลด์ใส่แล้วส่องดู สไตล์แบบ Analog แต่เดี๋ยวนี้มันยุคดิจิตอลแล้วครับ เดี๋ยวนี้เวลาจะดูภาพถ่ายก็ใช้เป็นไฟล์ภาพแล้วไปดูกับพวกเครื่อง PDA หรือ Ipod สำหรับกล้อง Viewmaster แบบนี้ไม่ใช่ของเล่นไฮโซอะไรมากนัก เพราะจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนโรงเรียนเลิกที่หน้าโรงเรียนมักจะมีพ่อค้าหนังแผ่นแบบนี้เอามาให้เช้าดูหนังฟิล์มแบบหนังไทย มีตั้งแต่หนังผี ยันหนังตลก ตามงานวัดก็เห็นออกบ่อยที่จะมีพ่อค้าหนังเร่ เอากล้องแบบนี้ให้เช่าดูหนังแบบภาพนิ่ง ซึ่งก็เป็นฟิล์มหนังจริงๆแต่เค้าตัดออกมา ดูแล้วอย่างกับเทลเลอร์หนังในปัจจุบัน เพราะตัดเอาเฉพาะภาพไฮไลท์เด็ดๆในแต่ละช่วงของหนังทั้งเรื่องมาทำให้เช้าดู ครั้งละ 5 บาท
ชิ้นที่ 5 โทรศัพท์เคลื่อนที่ อิริคสัน ฮ๊อตไลน์ ใหญ่แต่เท่ห์แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าแค่สิบกว่าปี โทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันมันเล็กขนาดใส่กระเป๋าเสื้อได้สบายๆ สำหรับเจ้าโทรศัพท์อิริคสันรุ่นแรกนี้ผมเห็นครั้งแรกตอนเด็กๆยังอึ้งกับขนาดว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถแบกโทรศัพท์ไปคุยนอกบ้านได้แล้ว ต้องใช้คำว่าแบกนะครับเพราะเครื่องมันหนักเป็นกิโลเลยหละ เครือข่ายสมัยก่อนก็น่าจะเป็นคลื่นแบบ 470 MHz ส่วนราคาเปิดตัวในยุคนั้น มีร้องจ๊าก! เพราะเห็นใหญ่ๆแบบนี้เครื่องละเป็นแสนเชียวครับ ส่วนค่าโทรก็มหาโหดนาทีละ 3 บาท แต่โทรทางไกลถูกหน่อย เลยมีพวกพ่อค้าหัวใสตามต่างจังหวัดเอาไปเปิดโต๊ะให้โทรทางไกลในราคาถูกลง ยอมลงทุนซื้อเครื่องราคาเป็นแสน แต่มันก็สามารถคืนทุนได้เร็ว ส่วนการจะนำไปใช้ในรถนี่ ต้องวัดใจกันเลยหละครับเพราะรถยนต์ที่จะเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปติดในรถเพื่อคุยไปขับรถไปได้นั้น มันต้องเจาะกระโปรงรถเพื่อต่อเสาอากาศออกภายนอก ไม่งั้นรับคลื่นไม่ได้ มายุคสุดท้ายที่ผมเห็นไอ้เจ้าโทรศัพท์แบบนี้ ส่วนมากกลายเป็นโทรศัพท์รุ่นขวัญใจชาวประมง เค้าเอาไปติดตามเรือประมงกัน ถ้ามายุคนี้ขืนยังแบกแบบนี้อยู่ คนคงจะงง คิดว่าจะมาวางระเบิดในห้างแน่ๆ
ชิ้นที่ 6 Motorola Dynatac ฮิตไม่ฮิต กระติกน้ำยังต้องเลียนแบบโทรศัพท์ Motorola รุ่นกระติกน้ำ ชื่อจริงๆคือรุ่น Dynatac ในระบบอนาลอค เป็นรุ่นที่ฮิตมากในอดีต ผมเชื่อว่าในที่นี้หลายท่านก็คงเคยใช้ใช่ไหมครับ ในสมัยก่อนตัวแค่นี้ก็คือว่าเล็กแล้ว พกพากันเกลื่อนเมือง สมัยก่อนโทรศัพท์ระบบยังไม่ใช่ดิจิตอลคุยไปก็มีเสียงกวนเข้ามา และที่พิเศษสุดๆเลยก็คือหากถือเครื่องแบบนี้ไปเดินคุยแถวร้านขายมือถือในมาบุญครอง อาจจะโดนจูนคลื่น แล้วก๊อปปี้ไปใช้โดยไม่รู้ตัวจะรู้อีกทีก็ตอนมีบิลเรียกเก็บตอนสิ้นเดือน แต่มันก็ฮิตขนาดจนมีคนเอาไปทำเป็นกระติกน้ำเลียนแบบหุ่นรูปทรง เอ!! ไม่แน่ใจว่ารุ่นนี้มี Bluetooth หรือเปล่า จำไม่ได้ อิอิ
ชิ้นที่ 7 Pager อุปกรณ์สร้างความรักของเด็กวัยรุ่นยุค 90ไม่รู้เดี๋ยวนี้หายหน้าหายตากันไปไหนหมดแล้ว บางคนที่มีเก็บอยู่ก็เอาไปทำนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงซะแล้ว เจ้า Pager นี้มันคือเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมของเด็กวัยรุ่นยุคต้นปี 90 เมื่อก่อนมักจะได้ยินเวลาวัยรุ่นพูดกันว่า " เดี๋ยวถ้ามีอะไรจะเพจไปบอกนะ " ซึ่งการใช้งานก็ต้องโทรเข้าศูนย์ไปฝากข้อความ มันก็เขินนะ ถ้าจะฝากคำหวานๆเวลาจะบอกแฟนแล้วต้องผ่านโอเปอเรเตอร์ที่ศูนย์ มายุคนี้ Pager หายสาบสูญไปจากโลกนี้กลายเป็น SMS แทน เพราะสะดวกไม่ต้องไปบอกคำหวานหรือความลับผ่าน โอเปอเรเตอร์อีกแล้ว ผู้ให้บริการ Pager ต่างก็เลยเก็บข้าวเก็บของไปหางานด้านอื่นทำกันหมดแล้ว แต่มันก็คืออุปกรณ์ในความทรงจำที่หลายๆคนต้องเคยพกมันอย่างแน่นอน
ชิ้นที่ 8 Sony Walkman ต้นกำเนิดเสียงเพลงพกพาSony Walkman เด็กๆผมอยากได้มาก แต่มันแพงมากเกินเอื้มเครื่องละประมาณ พันห้าร้อยบาท ผมยังจำได้เลย มีวิทยุกับเครื่องเล่นเทปในตัว ในปัจจุบัน walkman กลายพันธุ์พัฒนามาเป็นเครื่องเล่นเพลงพกพาในปัจจุบัน หลายชนิดแม้กระทั่ง iPOD เอ!! หรือว่า สตีฟ จ๊อบ เขาจะติดใจได้แรงบันดาลใจมาจาก Walkman ก็เป็นได้ว่าไหมครับ
ชิ้นที่ 9 วีดีโอเทป ชอบขึ้นราเดี๋ยวนี้ถ้าไปตามห้างแล้วจะไปบอกพนักงานว่าจะมาซื้อเครื่องเล่น VDO สงสัยพนักงานต้องทำหน้า งงๆ กันแน่ เพราะมันถึงยุค DVD กันแล้ว สำหรับ VDO เทปและเครื่องเล่นสมัยนี้แทบจะหาไม่ได้แล้วเพราะมันสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง หลังจากโดนกระแส VCD และ DVD ถล่มซะย่อยยับ เมื่อก่อนเวลาไปเช่าหนังตามร้าน ต้องแบกกันไปหนักอึ้งยิ่งเป็นหนังจีนชุดหละก็ แบกกันเป็นสิบๆม้วน แถมยังต้องหาซื้อเครื่องกรอเทปไว้ที่บ้านอีกต่างหาก เพราะกรอกับเครื่อง VDO เดี๋ยวจะพังเร็ว และที่สำคัญ VDO เทปแบบนี้เก็บนานๆชอบขึ้นราทุกที เห้ออออ มันหายไปจากโลกนี้แล้วหละครับ
ชิ้นที่ 10 แต่น แตน แต๊น Palm V ยังจำได้ไม๊มันคือ PDA สุดยอดแห่งความนิยมและทำให้เกิดเว็บไซด์แห่งนี้ขึ้นมาครับ ผมซื้อ Palm มาใช้รุ่นแรกก็ตัวนี้แหละ Palm V หน่วยความจำโคตรเยอะเลยครับ ตั้ง 2 MB แหนะ ต้องอาศัยโปรแกรมพวก Flash Pro มาช่วยเพื่อใช้พื้นที่ใน ROM ในการเก็บข้อมูล ราคาเครื่องในตอนยุคเมื่อสิบปีที่แล้วก็ขายกันประมาณ 17,000 บาท ใครใช้ Palm ในยุคนั้นคนมักจะมองว่าไฮโซ หรือเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่จริงๆก็ไม่ใช่ขนาดนั้นหรอกครับ มันถูกกว่ามือถือในยุคนั้นหลายเท่าตัว ตอนที่เป็น Palm OS 3.3 ยังไม่สามารถต่อกับมือถือได้ ต้องเป็น OS 3.5 ขึ้นไป เห็นแบบนี้มีโปรแกรมภาษาไทยด้วนะ ก็ของ ThaiPos กับ ThaiHack ยังไงหละครับ ยังจำกันได้ไหม ปัจจุบันผมยังเก็บรักษาเครื่อง Palm ตัวแรกของผมเป็นอย่างดียังใช้งานได้ดีทุกประการ จับทีไรนึกถึงวันวานทุกทีเลย
ชิ้นที่ 11 iPAQ รุ่นมีข้าไว้ เอ็งจะเท่ห์มันเป็นเครื่องรุ่นประวัติศาสตร์ที่ทำให้ Palm ต้องสะเทือนจนมาถึงทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ Microsoft ทำ OS ที่เรียกว่า Windows CE ออกมาก่อนแต่ไม่รุ่ง ตอนหลังเลยเปลี่ยนแนวเมื่อปี 2000 ออกเครื่องรุ่นใหม่ใช้ระบบปฎิบัติการ Pocket PC โดยชูความสามารถด้านมัลติมิเดียที่ Palm ไม่สามารถทำได้ดีเท่า สำหรับ iPaq รุ่นโคตรฮิต นั้นต้องเป็น Compaq iPaq รุ่น 3630 ซึ่งยุคแรกๆใช้งานแสนจะปวดหัวเหมือนกัน เพราะเวลาจะ Sync มันมักจะ Error บ่อยต้องคอยยกเข้ายกออกจากแท่น หลายๆ และโปรแกรมที่จะลงแต่ละตัวยังแบ่ง CPU แต่ละค่ายอีก แสนยากลำบากจริงๆ แต่มันก็ทำให้วงการ Pocket PC แจ้งเกิด จนเปลี่ยนชื่อมาเป็น Windows Mobile 6 จนมาถึงทุกวันนี้ไงหละครับ
ชิ้นที่ 12 นาฬิกา Casio รุ่น Databankมันเป็นนาฬิกายุคปี 80 สำหรับคนที่บ้าเทคโนโลยี หรือแม้แต่เด็กๆที่บ้านพอมีอันจะกินมักจะหามาไว้ครอบครอง เพราะมันมีลูกเล่นด้านต่างๆเช่นจับเวลา เป็นเครื่องคิดเลข และปฎิทิน เพียงแค่นี้ก็ดูสุดแสนจะไฮโซแล้ว สำหรับราคานาฬิกาในยุคนั้นผมเองจำไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเพื่อนคนไหนที่โรงเรียนใส่มาจะต้องไปขอหยิบยิมมาลองเล่น แค่เอาไว้ใช้กดเครื่องคิดเลขเวลาชั่วโมงคณิตศาสตร์ก็รู้สึกว่ามัน เจ๋งโคตรแล้วหละ แต่ในที่สุดก็โดนอาจารย์ดุจนได้ เพราะมัวแต่ใช้เครื่องคิดเลขเดี๋ยวจะคิดเองไม่เป็น
ชิ้นที่ 13 แฟมิลี่ ทีวีเล็ก ขวัญใจแท๊กซี่ และแม่ค้าตลาดสดเมื่อก่อน TV เครื่องหนึ่งไม่ใช่จอแบน แต่แบบจอบวม ที่ดูตามบ้านก็เครื่องละเป็นหมื่นแล้ว แต่พอมีแฟมิลี่ ทีวีเล็กออกมา มันพลิกตลาดคนใช้มากทีเดียว เพราะทำให้หลายๆคนสามารถพกพาทีวีไปดูตามสถานที่ต่างๆได้สะดวกขึ้น แถมราคาไม่แพงด้วยเครื่องละประมาณ 1500 บาท สามารถต่อที่จุดบุหรี่ในรถยนต์ก็ได้ เลยทำให้มันเป็นอุปกรณ์ขวัญใจ Taxi ในยุคนั้น แม้ภาพจะเต้นอย่างกับ เชิดสิงห์โต ตอนตรุษจีน เวลารถเคลื่อนตัว ต้องคอยโยกเสาไปมาเพื่อรับสัญญาณ หรือถ้าไปตามตลาดสดมันก็เป็น Gadget ขวัญใจแม่ค้าในตลาดเอาไว้ดูละคร ฆ่าเวลาเวลาขายของ แม้ว่าเครื่องมันจะเป็นจอขาวดำแต่ก็เป็นราคาที่ทุกคนหาซื้อได้ ปัจจุบันบริษัทแฟมิลี่เลยต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแนวตัวเอง ไปทำอุปกรณ์ด้านอื่นๆแทน TV เล็กเช่น เครื่องเล่น DVD หรือ จานดาวเทียม เพราะตลาด TV เล็กในปัจจุบันอยู่ในอุ้งมือสินค้าจากเมืองจีนไปแล้วแถมยังจอสีอีกต่างหาก
ชิ้นที่ 14 แผ่นดิสก์ขนาดมหึมา 5.25 นิ้วความทรงจำที่ยังไม่เลือนลางกับ แผ่น ดิสก์ ขนาด 5.25 นิ้วซึ่งปัจจุบันหาดูไม่ค่อยได้ ตัว Drive ก็มีขนาดใหญ่พอๆกับ CD Rom ใส่แผ่นแล้วต้องมีตัวล๊อคหมุนปิดลงมา เวลาเลิกใช้เอาแผ่นออกก็หมุนล๊อคแล้วแผ่นก็เด้งออกมา ปัจจุบันสื่อเก็บข้อมูลพัฒนาไปจนมีขนาดเล็กและความจุสูงเป็น GB อย่าง Flash Drive ขนาดเล็กๆตัวเท่านิ้วก้อย ก็เก็บข้อมูลได้เป็น GB แล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ใครยังใช้ดิสก์แบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า
ชิ้นที่ 15 โทรศัพท์ Siemens รุ่น S25หากใครใช้ Palm เมื่อสัก 7-8 ปีที่แล้วจะต้องรู้จักเจ้าโทรศัพท์รุ่นนี้ดี เพราะในตอนนั้นโทรศัพท์มือถือมีเพียง 2 รุ่นเท่านั้นที่มี Modem ในตัว คือของ Nokia รุ่น 8xxx และ Siemens S25 ตัวนี้ และมันมีช่องอินฟราเรดที่สามารถต่อเชื่อมกับเครื่อง Palm ได้เลยทำให้เครื่อง Palm สามารถเล่น Net ผ่านมือถือได้เป็นครั้งแรก ส่วนเรื่องความเร็วนั้น EDGE หรือ GPRS หลบไปเลยครับ เพราะความเร็วในการเล่น Net ในยุคนั้นเร็วมาก คือเร็วแค่ 9600 bps อิอิ โหลดเว็บทีไปชงกาแฟกลับมายังไม่เสร็จ เลยระบบสมัยก่อนต้องใช้ Account ของ Internet ตามบ้านต่อแบบ โทรเข้าไปศูนย์ ISP ตามปกติ แบบโทรตามบ้านของ Modem 56k แต่มันก็ทำให้วงการ PDA ในยุคนั้น ตื่นตาตื่นใจขึ้นมามากทีเดียว แต่สำหรับยุคนี้ก็ PDA Phone ไงหละครับ ตัวเดียวจบครบทุกอย่างมี EDGE อีกต่างหากสำหรับเรื่องราวในวันนี้ก็เป็นเรื่องราวของอุปกรณ์ในอดีตที่เรียกว่าเป็นเครื่องต้นแบบทำให้เรามีเทคโนโยแบบแปลกใช้กันในวันนี้ หลายคนเห็นภาพแล้วอาจจะแอบยิ้มว่า ฉันก็เคยใช้นะได้เครื่องรุ่นนี้ รุ่นนั้นด้วย ก็เป็นความทรงจำเก่าๆที่เราเอามาให้ดูกันผ่อนคลายอารมณ์ครับ แล้วก็เลยกลายเป็นบทความรวมพลคนสูงอายุไปในตัวด้วย ฮ่าๆๆ แต่ผมยังไม่แก่นะ เพียงแต่เกิดทันยุคที่เขาใช้กันต่างหากสรุปทิ้งท้ายกันอีกสักหน่อยละกัน เห็นไหมครับว่าเทคโนโลยีมันเปลี่ยนเร็วแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแพงระดับเรือนแสนหากเป็นสินค้าเทคโนโลยียังไงมันก็จะกลายเป็นวัตถุโบราณราคาแพงที่บางทีเก็บเอาไว้ก็ไม่เคยกลับไปใช้มันอีกเลย มีเงินมีทองก็อย่าไปจับจ่ายกับสินค้าพวกนี้มากนะครับเพราะยังไงเราก็ไม่มีทางวิ่งตามมันทันอย่างแน่อน แค่ศึกษาอ่านและเก็บความรู้ให้เท่าทันมันก็เพียงพอแล้วหละครับ แค่นี้เราก็เป็นคนที่ทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดเวลาแล้วหละครับ

ไม่อ่านเสียดายแย่เลย

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า"ผมขโมยเองครับ"ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยกลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลยตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ .......วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักเพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...ฉันถามเขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรกฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วเมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมากหลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขาฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"ฉันถาม"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ..."น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่งแต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดีจึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิมน้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดาวันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาลฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลน้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...""ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปีเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้านวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกลเมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาวเธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉันคำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม จบบริบูรณ์....ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัทน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า"ซัมซุง"และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับบู มิง ฮอง เล่าเรื่อง

ข้อคิด สะกิดจัย

อย่าหันหน้าไปสนใจคำด่าทอของคนอื่น ว่าเขาเป็นใคร? ถ้าหมาบ้ากัดคุณ คุณจะกัดหมาบ้าคืนหรือไง?
ทำลายคนหนึ่งคน ใช้แค่คำพูดเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าปั้นคนหนึ่งคนต้องใช้คำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำ
มีคนไม่น้อยที่จากโลกนี้ไป ทิ้งไว้คำๆ หนึ่ง โลกเราสับสนและวุ่นวายจัง
ความรักไม่ใช่มูลนิธิ จะบริจาคให้คนอื่นไปทั่วไม่ได้... ความสัมพันธ์ไม่มีการจดทะเบียน ไม่มีแบบอย่างเฉพาะ ไม่มีเหตุผลอะไร แต่ผู้คนก็ยังตามหารักไม่รู้จบสิ้น ถึงแม้ชีวิตจะหาไม่ ยังไม่ละเว้น
อย่าเสียเศษเสี้ยวของเวลา ไปนึกถึงคนที่ตัวเองไม่ชอบเลย
อิจฉาคนอื่น ไม่ได้ทำให้ตัวเองดีขึ้นมาเลย อิจฉาคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นด้อยลงไปด้วย
เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จักการให้อภัย จากส่วนลึกของหัวใจแล้ว คนๆ นั้นจะนอนหลับฝันดีได้อย่างไร
อย่าใช้วิธีทำร้ายจิตใจคน แล้วค่อยมาเตือนสติเขา... เวลานี้คำพูดที่ดีเลิศ จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

น่ายินดีกับคณะเราไหมล่ะ

อัพเดทข่าวกับคณะเราไง
คณะท่องเที่ยวฯ เปิด RSU Travel Consultant บริษัทนำเที่ยวครบวงจรธันวาคม 19, 2550 10:12 AM
คณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดบริษัทนำเที่ยวแบบครบวงจร ภายใต้ชื่อบริษัท อาร์เอสยู ทราเวิล คอนซัลแทนต์ จำกัด (RSU Travel Consultant Co.,Ltd) เปิดให้บริการจำหน่ายตั๋วโดยสาร นำเที่ยว จัดประชุมสัมมนา และทำงานวิจัยด้านการท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ โดยได้จับมือกับ บริษัท Business Alliances Solutions Co.,Ltd (BAS) และ KS & S Travel Service Co.,Ltd ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดดำเนินการนายเสรี วังส์ไพจิตร คณบดีคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ทางคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จับมือกับบริษัท Business Alliances Solutions Co.,Ltd (BAS) และ KS & S Travel Service Co.,Ltd ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ร่วมกันเปิดดำเนินการธุรกิจนำเที่ยวแบบครบวงจร จดทะเบียนในชื่อบริษัท อาร์เอสยู ทราเวิล คอนซัลแทนต์ จำกัด (RSU Travel Consultant Co.,Ltd โดยเปิดให้บริการจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน การนำเที่ยว การจัดประชุมสัมมนา ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการจัดอบรม ทำงานวิจัย และการวางแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ โครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับตัวนักศึกษาอย่างมาก นักศึกษาจะมีโอกาสได้ปฏิบัติงานจริงกับผู้มีประสบการณ์ เช่น ในเรื่องการ การออกตั๋วเครื่องบิน การบริหารงานทุกอย่าง ทุกขั้นตอนเป็นของจริง นักศึกษาจะได้เรียนรู้การทำงานต่างๆ จากพี่เลี้ยงมืออาชีพ ซึ่งการเปิดบริษัทนำเที่ยวแบบครบวงจรครั้งนี้ของมหาวิทยาลัยรังสิต ถือได้ว่าเป็นแห่งแรกในประเทศไทย เนื่องจากที่สถาบันอื่นจะเปิดบริการเพียงในบางเรื่องเท่านั้น ไม่ได้ทำเต็มรูปแบบเหมือน RSU Travel Consultant“ในด้านการเรียกเก็บอัตราค่าบริการ ทางบริษัทฯ ตั้งใจจะเรียกเก็บค่าบริการในราคาพิเศษ ทั้งเรื่องของราคาตั๋วเครื่องบินและการจัดนำเที่ยว ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร สุดท้ายนี้ขอฝากถึงชาวรังสิตให้หันมาให้การสนับสนุนบริษัทฯ เพราะตามปกติทุกคณะและหน่วยงานจะมีการใช้บริการบริษัทนำเที่ยวจากภายนอกเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ท่านสามารถนำราคาที่พึงพอใจในบริษัทนำเที่ยวอื่นๆ มายื่นเสนอเปรียบเทียบเพื่อปรับเปลี่ยนราคาของ RSU Travel Consultant ให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด” นายเสรี วังส์ไพจิตร กล่าวสำหรับผู้ที่สนใจสามารถถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท อาร์เอสยู ทราเวิล คอนซัลแทนต์ โทร. 0-2997-2200 ต่อ 2900 อุดหนุนกันหน่อย

เพื่อนๆชาวม.รังสิต

เพื่อนๆชาวม.รังสิต ทุกท่านคุยกันหน่อยดิ
comment ให้หน่อยดิ

คิดถึงง่ะ เป็นไงกันบ้าง
สบายดีเปล่า
คิดถึงเพื่อนทุกคนนะ
ข่าวคราวเงียบหายไปสองสามปี
555555 ล้อเล่น
เพื่อนๆส่วนใหญ่ใช้คอมกันเปล่าถ้าใช้เข้ามาคุยกันนะ

Friday, December 21, 2007

เรื่องอัพเดท

เมื่อเช้าอ่านหนังสืออยู่1เล่ม น่าจะเรื่อง มารู้จักBlogกันเถอะ (มั่ง) เค้าบอกว่าการทำBlogอาจเป็นการเพ้อฝันของคนทำ ซึ่งเคยมีข่าวฮือฮากันที่อเมริกาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าคนเขียน เขียนเรื่องของผู้หญิงหรือเด็กหญิงคนหนึ่งเนี่ยแหละประมาณว่าป่วย ต้องทนทุกข์ทรมาน สุดท้ายเสียชีวิต ทำให้ให้ผู้คนที่สนใจอ่าน Blogนี้ โศรกเศร้าเสียใจกัน สุดท้ายมีคนที่คลั่งไคล้คนหนึ่งพยายยามค้นหาบุคคลที่ชื่อนี้ ว่ามีจริงรึเปล่าปรากฎว่าผู้เขียนออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องที่เค้าแต่งขึ้น และเป็นจินตนาการทั้งหมด และขอโทษในที่สุด ก็เลยมานั่งคิดว่ามันก็จิงนะ แตก็ขึ้นอยู่กับคน อีกนั่นแหละ คนไหนที่เคยอ่านแล้วก็อย่าวาเลยนะค่ะ เพราะพึ่งไปอ่านเจอมาจริงๆ

แผนที่ ตอน३ จบพอดี



หายป่วยแน่ ตอน2

เห็นจะได้ ราคาตอนนี้อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10000 บาท จ่ายครั้งเดียว หลังจากทำแล้วดูแลรักษาให้ 3 ปี หมอจะบอกว่า หมอจะบอกว่า แต่ละคนต้องทำกี่ครั้ง ผึ้งทำแค 4 ครั้งก็หายค่ะ แต่หมอจะนัดทุกอาทิตย์นะค่ะ ไปตามหมอนัดหายแน่ หมอจะดูอาการด้วยนะค่ะว่าคนไหนหนัก/เบาจะรักษาตามอาการ ค่ารักษาก็ตามอาการ คนไหนที่ไม่หายแน่นอนไม่รักษาค่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมาก้อพาลูกสาวเพื่อนคุณพ่อไปรักษาไซนัสมาค่ะ พอทำครั้งแรกก้ออาจมีมึนๆ สักแป๊ปจะรู้สึกโล่งหัวไปเลยค่ะ ไปรักษาดูนะค่ะ ผึ้งแนบข้อมูลมาให้แล้วค่ะ อ๋อ....หมอมี2คนค่ะ หมอnameประสงค์เป็นพ่อ แผนโบราณคนนี้เค้าเป็นคนคิดตัวยาเองทั้งหมด รักษาวัน พฤหัสบ+ศุกร์ ส่วนลูกชายไม่ได้ถามชื่อหมอแต่คนที่ไปรักษาบอกว่าหมอคนนี้มือเบามาก เป็นหมอแผนปัจจุบัน อยู่ที่รพ।ไหนผึ้งไม่รู้รักษาเสาร์+อาทิตย์ เวลา 10।00-17।00 ผึ้งกะคุณแม่เคยรักษากับหมอประสงค์ค่ะ วันที่พาลูกสาวเพื่อนพ่อไปรักษาวันเสาร์ก็เลยขอตรวจซะเลย ปรากฎว่าแข็งแรงดีมากค่ะ แล้วก็ให้ทำตามที่หมอบอก ใคร ไปรักษาหมอก็จะบอกค่ะว่าต้องปฎิบัติตนอย่างไรปฎิบัติตามจะเป็นผลดีมากๆ ผึ้งและคุณแม่อยากบอกให้เค้าหายกันบอกคนอื่นส่งให้คนอื่นฝากกระจายข่าวด้วยนะค่ะจะได้บุญกันถ้วนหน้า "อยากให้คนไทยหายป่วยค่ะ จะได้มาช่วยกันรักษาโลกของเราให้น่าอยู่"

หายป่วยแน่ ตอน1

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่อิงนิยาย อยากบอกให้เพราะอยากให้คนไทยหายจากโรคภัยไขเจ็บทั้งหลาย
ก่อนหน้านี้สัก 6-7 ปี บิดาทำงานการบินไทย เป็นนายสถานีอยู่ที่นั่น 6 ปี CheifStationEngineerมารดาก็ไปด้วย อยู่ที่เมือง DhakaประเทศBangladeshขอบอกว่าที่นี้ไม่ได้กันดารsameในทีวีบ้านเรานะค่ะ แถมอากาศดีด้วย ที่สำคัญจิ้งจกก็ไม่มีดีไหมค่ะ แต่เวลาคุณแม่เดินทางเจ้าจิ้งจกก็จะแอบเกาะไปเที่ยวด้วย ส่วนหมอตรวจโรคที่นั่นก็เก่งค่ะเป็นหมอบังคลาเทศ อย่าคิดว่าเค้าล้าหลังนะค่ะผักผลไม้ใหญ่โตไม่แพ้กัน เข้าเรื่องนะค่ะ ครอบครัวของผึ้งรู้จักกับคนบังคลาเทศและดูหลายท่านและเค้าได้แนะนำให้ไปรักษากับหมอคนหนึ่งที่ประเทศไทย ซึ่งน่าทึ่งมากที่เราเองคนไทยยังไม่รู้จักเลย หลังจากนั้นคุณแม่ได้เดินทางมารักษาโรคหอบ และผึ้งรักษาไมเกรน ปรากฎว่าหายค่ะ ผึ้งกะแม่ทำไปนานแล้วน่าจะประมาณ 8-10ปี

Friday, December 14, 2007

ตูดหมึก

งานเยอะก็เป็นบางวัน ก็ใช้เวลาไม่มากกับการจัดแบ่งสัดส่วนของงาน งานไหนควรกระทำก่อน หลัง ไม่ยากมาก ไม่สับสนไม่ทำให้งงง งานเสร็จเร็วด้วย บางวันงานเข้ามาโครตเยอะเลย ทำไม่ทันแต่ตั้งเป้าไว้ว่า 2 วัน ต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จต้องรีบทำต่อ จะได้มีเวลาไว้หายใจ ไม่ซีเรียส ทำงานมาก็นานนะแต่ไม่ถึง ३० ปี สักหน่อย อายุอานามก็ไม่เยอะ แค่ 25 นิดๆเอง (โอ๊ย ...หลอกตัวเอง) แต่ก็ยังมุนอยู่กะงาน งานที่ทำก็ไม่ยุ่งยากมากมายเพราะ ได้มือดีมาช่วย...ทายสิ...ทาย...ทายถูกได้ 6 บาท ก็ยากให้มากกว่าคนอื่นไง มุก 5บาท หมดยุคไปแล้ว.... ก็จ้าวคอมพิวเตอร์เครื่องนี้มีชื่อว่า ไอ้ตูดหมึก เพราะว่ามันหิวข้าวบ่อย ไม่รู้ว่ามันจะอยากกินอะไร พอได้เวลามันก็ร้องเสียงหลง จนใครๆ นึกว่าไอ้ตูดหมึกจะพังซะแล้ว ใจจริงก็อยากได้ตัวใหม่น่ะ แต่ไอ้ตูดหมึกเนี่ยก็ได้มันมาตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี้เลยนะ สงสารมัน มันยังไม่ถึงเวลา ใช้มันถนอมมันหน่อย รักมันมากๆ มันคงสงบได้ ช่วงนี้เป็นบ่อยมันชอบร้องไม่รู้มันหิวข้าวมากหรืออดยากมาจากที่ไหน เมื่อก่อนไม่ร้องเลยนะ แต่ไม่เหมือนดูแลแฟนนะ เพราะแฟนต้องเอาใจใส่ เอาใจเยอะๆ รักมากๆ ส่วนไอ้ตูดหมึก ดูแลได้แต่เอากลับบ้านไม่ได้ ถ้ารักมันมากมันจะรู้ม่ะ มันจะตอบได้เหมือนแฟนเราม่ะ....ผีหลอกแล้ว แต่มันน่าจะรู้นะว่ามันต้องอยู่กะเราอีกนานแสนนาน ไอ้ตูดหมึก มันเป็นเครื่องที่สง่าได้จัย สีดำ ตัวหน้ามันฟันล่างหายไปเพราะหักนี่แหละ มันยังดูสมบูรณ์นะ หากเอามันไปอาบน้ำแต่งตัวสักนิด ก็ไม่แพ้แฟนพลอย เฌอมาลย์เลย อิอิ...อันนี้ชอบแฟนเค้านะ.... ได้โปรดเถอะสวรรค์อย่าพึ่งเอาไอ้ตูดหมึกไปเลย...... มันดีขนาดนี้อย่าทำมันเลย 55555 ไม่น่าเชื่อแค่ไอ้ตูดหมึกตัวเดียวคุยได้ยาวเลย ใครมีไอเดียไม่แปลกๆแบบนี้ comment หน่อยนะค่ะ