"การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำกิจกรรม "ไหว้พระขอพร ๙ พระอารามหลวง" ขึ้น เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย
ต้นสายปลายเหตุของกิจกรรม "ไหว้พระ 9 วัด" เกิดจากการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) ได้รับมอบหมายในเชิงนโยบาย ให้จัดถวายความรู้แด่พระสงฆ์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 200 รูป "ในการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยว ในอนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างไร" โดยเดินทางไปศึกษาวัดและโบราณสถานที่มีความพร้อมในการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างสมบรูณ์ ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นตัวอย่างในการจัดกิจกรรมถวายความรู้แด่พระสงฆ์เบื้องต้นครั้งแรก จำนวน 9 แหล่ง อันประกอบด้วย ศาลหลักเมือง วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง วัดภูเขาทอง วัดบรมวงศ์อิศรวราราม วัดหน้าพระเมรุ วัดพุทไธศวรรย์ วัดโลกยสุธาราม วิหารพระมงคลบพิตร (สาเหตุที่ใช้เลข 9 เพราะเป็นหมายเลขที่เป็นสิริมงคลของคนไทยและโครงการนี้ถือว่าก่อกำเนิดในยุคสมัยรัชกาลที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
หลังจากการถวายความรู้แด่พระสงฆ์ในครั้งนั้น ได้มีการนำเสนอข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ททท. จัดกิจกรรม "ไหว้พระ 9 วัด" เพื่อเสริมสิริมงคลและส่งเสริมการท่องเที่ยว ต่อมาก็มีเสียงเรียกร้องจากบรรดานักท่องเที่ยวกลุ่ม ส.ว. (สูงวัยหรือสูงอายุ) มีความต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวตามโปรแกรมไหว้ 9 วัด ตามเส้นทางที่ ททท.จัดถวายความรู้แด่พระสงฆ์มากขึ้น และได้มีบริษัททัวร์ริเริ่มจัดไหว้พระ 9 วัด ในโปรแกรมต่างๆ ในหลายทางเลือกไว้ให้บริการมากขึ้นเช่นกัน
ต่อมาปี พ.ศ. 2545 ททท.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ทำโครงการ "เที่ยวทั่วไทย ไปได้ทุกเดือน"
โดยเน้นการส่งเสริมการตลาดเพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ดังนั้น จึงเลือกทำกิจกรรม "ไหว้พระ 9 วัด" หรือ "ไหว้พระขอพร 9 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์" เป็นการจัดกิจกรรมนำร่องขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในแหล่งท่องเที่ยวรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อให้เกิดการตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในระยะยาวตลอดทั้งปีต่อไปอย่างถาวร ซึ่งในระยะแรกนั้น ททท. เน้นการประชาสัมพันธ์ จัดทำเอกสารคู่มือที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยตนเองพร้อมจัดทัวร์โปรแกรมพิเศษ เชิญ VIP ศิลปินดารานักแสดงต่าง ๆ ตัวแทนบริษัทนำเที่ยว สื่อมวลชน ร่วมเดินทางทำกิจกรรม "ไหว้พระ 9 วัด" กระตุ้นตลาดในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ งานตรุษจีน งานสงกรานต์ เป็นต้น
ในเชิงการตลาดและประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวไทยทุกกลุ่มอายุและขยายผลสู่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ (โดยเฉพาะชาวเอเชียที่ชอบท่องเที่ยวในเชิงศาสนา-วัฒนธรรม) ระยะยาวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ททท. จึงได้จัดทำเอกสารคู่มือทำกิจกรรม "ไหว้พระ 9 วัด" ไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจำนวน 3 ภาษา คือไทย อังกฤษ จีน อนึ่งเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ง่ายต่อการบอกต่อ ๆ กันไปสำหรับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ จึงได้สร้างจุดเด่นและจุดขาย เป็น “คติ” ของสถานที่แต่ละแหล่งที่เราเลือกขึ้นมาใช้เป็นจุดขายสร้างกระแสโน้มน้าวกระตุ้นให้คนเลือกตัดสินใจเดินทางเข้าไปท่องเที่ยว "ไหว้พระ 9 วัด" ในวัดและสถานที่ต่าง ๆ บริเวณเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร ดังนี้
ในลำดับมาได้มีการปรับเปลี่ยนสถานที่ไปบ้างบางแห่งเพื่อเอาใจสำหรับกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทย จึงได้ปรับเลือกใช้วัดบวรนิเวศวิหาร และวัดสระเกศ แทน ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร และศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อเป็นการต่อยอดและสร้างทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ “ไหว้พระ (จริงๆทั้ง) 9 วัด” ททท. จึงได้ปรับเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อให้ดูยิ่งใหญ่และขลังขึ้นกว่าเดิม เป็น “ไหว้พระขอพรเก้าพระอารามหลวง”
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
มีคติว่า “แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา” หรือ “เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย” วัดกัลยาณมิตร
มีคติว่า “เดินทางปลอดภัย มีมิตรไมตรีที่ดี” วัดชนะสงคราม
มีคติว่า “มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง” วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
มีคติว่า “ร่มเย็นเป็นสุข”
วัดระฆังโฆสิตาราม
มีคติว่า “มีคนนิยมชมชื่น”
วัดสุทัศนเทพวราราม
มีคติว่า “มีวิสัยทัศนกว้างไกลมีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”
วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)
มีคติว่า “ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน”
ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
มีคติว่า “ตัดเคราะห์ต่อชะตาเสริมวาสนาบารมี”
ศาลเจ้าพ่อเสือ
มีคติว่า “เสริมอำนาจบารมี”
วัดบวรนิเวศวิหาร
มีคติว่า “พบแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิต”
วัดสระเกศ
มีคติว่า “เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล”
กิจกรรม “ไหว้พระ 9 วัด” ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาขยายผลและต่อยอดการจัดกิจกรรมลักษณะนี้อย่างจริงจังหลายรูปแบบ โดยเจ้าของสถานที่และหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทำการจัดกิจกรรมไหว้พระ 9 วัด กระจายตัวไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศและสร้างจุดขายเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวมีสีสันความเชื่อและมีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป
มักจะพบเห็นเด็ก ๆ วัยรุ่น หนุ่ม สาว ในปัจจุบันจูงมือกันเข้าวัดทำบุญบริจาคทานทำให้จิตใจ สุขสงบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั้นหมายถึงการท่องเที่ยว “ไหว้พระ 9 วัด” ก่อให้เกิดมิติการเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ สร้าง-เสริม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังวัฒนธรรมไทย และค่านิยมให้กับเด็ก ๆ วัยรุ่น วัยทำงาน สนใจเดินทางเข้าวัดมากขึ้นกว่าเดิมแทนที่จะมีแต่เพียงกลุ่ม ส.ว. (สูงวัย หรือ สูงอายุ) เข้าวัดเท่านั้น ทั้งนี้ทำให้ เกิดการพัฒนาต่อยอดรูปแบบการท่องเที่ยวในเชิงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และโบราณสถาน เพื่อแสวงหาความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็นพรชัยแก่การเริ่มต้นที่ดีพบแต่สิ่งที่ดีงามให้กับชีวิตในการก้าวต่อไปใน อนาคต........ทำให้ท่องเที่ยวแล้วมีความสุข (อิ่มบุญ)............นี่คือความเป็นมาของ “ต้นตำรับ...ไหว้พระ 9 วัด”ข้อมูลและภาพจาก : ไหว้พระ 9 วัด
FRoM.http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E4%CB%C7%E9%BE%C3%D0_9_%C7%D1%B4/
Wednesday, November 5, 2008
รถชน!!!.....อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี
From.........http://webboard.formula1.sanook.com/forum/?topic=2563116
อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทยด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่นำมาให้อ่านกัน 1 ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม 2 ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยังสามารถพูดได้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง 3 ถ้าท่านเป็นผู้ขับ กรณีนี้อย่าหนีเป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้ 3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล 3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร 3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย 3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจมีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด 3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท 4 ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี 5 ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพไว้เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง 6 ควรช่วยเหลือคนเจ็บ หรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต เรื่องนี้สำคัญมากๆคนขับรถมักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ความจริงเมื่อคุณขับรถชนคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บหรือขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษทางอาญฟา - ทางอาญา คุณอาจจะต้องรับโทษจำคุก - ทางแพ่ง คุณจะต้องชดเชยค่าเสียหายค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับคู่กรณี หากคุณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ชนแล้วหนี ต่อมาเมื่อเรื่องถึงศาล ศาลก็จะเห็นถึงความมีน้ำใจของคุณก็อาจจะรอลงอาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณหนีศาลมักจะให้จำคุกเลยเพราะเห็นว่าคุณเป็นคนแล้งน้ำใจ การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มาก ยกตัวอย่างเช่นถ้าไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่าไม่ให้คืนของกลางให้แก่ผู้ต้องหาจนกว่าผู้ต้องหาจะพยายามตกลงกับผู้เสียหายและถ้าคุณยอมชดเชยค่าเสียหายและค่าทำศพให้กับผู้เสียหาย คดีแพ่งก็ระงับเพราะถือว่ายอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว ทั้งนี้การใช้รถใช้ถนนร่วมกันให้ดีขึ้นนั้น เราทุกคนควรขับรถอย่างมีสติไม่ประมาทและมีน้ำใจให้แก่กัน เพียงเท่านี้อุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว ข้อมูลดีๆจากหนังสือ เชฟวี่ ทอล์ค
อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทยด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่นำมาให้อ่านกัน 1 ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม 2 ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยังสามารถพูดได้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง 3 ถ้าท่านเป็นผู้ขับ กรณีนี้อย่าหนีเป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้ 3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล 3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร 3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย 3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจมีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด 3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท 4 ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี 5 ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพไว้เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง 6 ควรช่วยเหลือคนเจ็บ หรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต เรื่องนี้สำคัญมากๆคนขับรถมักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ความจริงเมื่อคุณขับรถชนคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บหรือขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษทางอาญฟา - ทางอาญา คุณอาจจะต้องรับโทษจำคุก - ทางแพ่ง คุณจะต้องชดเชยค่าเสียหายค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับคู่กรณี หากคุณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ชนแล้วหนี ต่อมาเมื่อเรื่องถึงศาล ศาลก็จะเห็นถึงความมีน้ำใจของคุณก็อาจจะรอลงอาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณหนีศาลมักจะให้จำคุกเลยเพราะเห็นว่าคุณเป็นคนแล้งน้ำใจ การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มาก ยกตัวอย่างเช่นถ้าไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่าไม่ให้คืนของกลางให้แก่ผู้ต้องหาจนกว่าผู้ต้องหาจะพยายามตกลงกับผู้เสียหายและถ้าคุณยอมชดเชยค่าเสียหายและค่าทำศพให้กับผู้เสียหาย คดีแพ่งก็ระงับเพราะถือว่ายอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว ทั้งนี้การใช้รถใช้ถนนร่วมกันให้ดีขึ้นนั้น เราทุกคนควรขับรถอย่างมีสติไม่ประมาทและมีน้ำใจให้แก่กัน เพียงเท่านี้อุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว ข้อมูลดีๆจากหนังสือ เชฟวี่ ทอล์ค
6 วิธีที่ฝ่ายชายบอกรักคุณโดยไม่ต้องพูดว่า ผมรักคุณ
จะเป็นเพราะว่า ผู้ชายอายเกินไป ที่จะบอกรักออกมาเป็นคำพูด หรือว่าใจเสาะ อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับผู้ชายปากแข็งอย่างนี้ เราจะรู้ได้ยังไงหล่ะ ว่าเขารักเราหรือเปล่า วิธีจับสังเกตุง่ายๆ 6 วิธี
1.คุณจับได้ว่าเขาจ้องมองตาคุณอยู่ปกติผู้ชายมักจะจ้องมองสิ่งที่เขาปรารถนาอยู่เสมอ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงเห็นผู้ชายแอบมองหน้าอกของผู้หญิง หรือวิจารณ์หน้าอกของผู้หญิงอยู่บ่อยๆ วิธีการมองที่บอกว่า "ผมรักคุณ" นั้นมีอยู่สองแบบ แบบแรกคือการแอบมองคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว (เพราะฉะนั้นแอบจับเขาให้ได้หล่ะ) แบบที่สองคือ จ้องมองคุณอย่างแน่วแน่ในระหว่างที่พูดคุยกัน
2. เขาตุนของโปรดของคุณไว้ในตู้เย็นหรือในครัวที่บ้านเขานั่นแสดงให้เห็นว่าเขานึกถึงแต่ความสุขของคุณอยู่เสมอ ก็ความสุขอย่างนึงของผู้หญิงก็คือการกินยังไงหล่ะ ฉะนั้นลองสังเกตุเวลาที่เค้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เกต แล้วลองดูรายการที่เค้าเลือกหยิบ ถ้ามันมีแต่มัชเมโล คิตตี้แคท หรือโยเกริ์ตรสชาติโปรดของคุณ มากกว่าของส่วนตัวของเขาหล่ะก็ นั่นแหละสิ่งบอกความในใจหล่ะค่ะ และยิ่งไปกว่านั้นนะคะ การตุนของหมายถึงการประกาศให้คนรอบข้าง หรือสาธารณชนรู้ถึงความสำคัญของคุณ ปกติแล้วผู้ชายที่ยังไม่ยอมลงหลักปักฐานกับใคร จะไม่ค่อยซื้อของพวกเนี้ยไปเก็บไว้ที่บ้านหรอกค่ะ ทำไมเหรอคะ ก็กลัวสาวอื่นจะมาเห็นยังไงหล่ะ
3. เขาเริ่มพูดถึงอนาคตถ้าวันดีคืนดีเขาพูดกับคุณถึงเรื่องอีก 3 ปีข้างหน้า ชีวิตเค้าจะเป็นอย่างไร หรือเค้าอยากมีบ้านแบบไหน มันเป็นการบอกความนัยว่าเขาอยากร่วมชีวิตกับคุณ อยากให้คุณวาดฝันที่จะได้ไปอยู่กับเขาหรือมีอนาคตที่เหมือนกับเขา และยิ่งถ้าเขาถามความเห็นของคุณด้วยหล่ะก็ นั่นหมายถึงสัมพันธภาพของคุณไปได้อีกยาวแน่ๆ
4. เขาใส่เสื้อผ้าที่คุณซื้อให้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ผู้ชายใส่เสื้อผ้าที่เห็นได้ชัดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนเลือกเอง นั่นหมายถึงเขากำลังแสดงให้เห็นว่าเขาปล่อยให้คุณเป็นผู้ควบคุม และเปลี่ยนแปลงโฉมให้เขา มันถือว่าเป็นการแสดงออกที่กล้าหาญอย่างมากเชียวนะคะ กับการที่จะถูกเพื่อนๆ โสดของเขาล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวที่เปลี่ยนไป
5. เขาชอบยืนเบียดไหล่กับคุณผู้ชายถ้าไม่อยากให้สัมพันธภาพยืนยาวกับผู้หญิงมากนัก เค้ามักจะไม่ค่อยเดินคลอเคลีย แต่กลับเดินนำหน้า หรือเดินตามหลังคุณห่างๆ แต่ถ้าเค้าตกหลุมรักคุณจริงๆ แล้วหล่ะก็ การเดินเคียงบ่า เคียงไหล่กับคุณ แสดงให้เห็นถึงความผูดมัดของเขาด้วยการรักษาระดับสายตา ให้อยู่แต่ในที่ๆ คุณจะเห็นได้ชัด รวมไปถึงยืนตัวติดกันด้วย6. ยอมให้คุณรับโทรศัพท์ของเขาอันนี้ถือเป็นปราการด่านสำคัญ ที่ทำให้คุณเจาะเข้าไปถึงเรื่องส่วนตัวสุดๆ ของเหล่าชายค่ะ ถ้าเขายอมให้คุณรับโทรศัพท์ของเขา นั่นแสดงว่าเขาไว้ใจคุณ พร้อมที่จะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณ ยอมให้คุณรุกล้ำเข้าไปสู่อาณาจักรส่วนตัว เพราะโทรศัพท์ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในยามที่ผู้ชายมีแฟน การที่เค้ายอมยกสิทธิส่วนตัวอย่างเดียวที่เหลืออยู่นั้นให้คุณ แสดงว่าเค้ารักคุณแล้วจริงๆ เป็นไงคะ เขาของคุณเคยแสดงอาการที่ว่านี้ออกมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเค้าแสดงอาการอย่างว่าออกมาครบทั้ง 6 ข้อแล้วหล่ะก็ คุณนอนยิ้มได้เลย เค้ารักคุณแน่ๆ เพียงแต่รอว่าเมื่อไหร่เค้าจะยอมเอ่ยปากออกมาเท่านั้นเองค่ะ
1.คุณจับได้ว่าเขาจ้องมองตาคุณอยู่ปกติผู้ชายมักจะจ้องมองสิ่งที่เขาปรารถนาอยู่เสมอ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงเห็นผู้ชายแอบมองหน้าอกของผู้หญิง หรือวิจารณ์หน้าอกของผู้หญิงอยู่บ่อยๆ วิธีการมองที่บอกว่า "ผมรักคุณ" นั้นมีอยู่สองแบบ แบบแรกคือการแอบมองคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว (เพราะฉะนั้นแอบจับเขาให้ได้หล่ะ) แบบที่สองคือ จ้องมองคุณอย่างแน่วแน่ในระหว่างที่พูดคุยกัน
2. เขาตุนของโปรดของคุณไว้ในตู้เย็นหรือในครัวที่บ้านเขานั่นแสดงให้เห็นว่าเขานึกถึงแต่ความสุขของคุณอยู่เสมอ ก็ความสุขอย่างนึงของผู้หญิงก็คือการกินยังไงหล่ะ ฉะนั้นลองสังเกตุเวลาที่เค้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เกต แล้วลองดูรายการที่เค้าเลือกหยิบ ถ้ามันมีแต่มัชเมโล คิตตี้แคท หรือโยเกริ์ตรสชาติโปรดของคุณ มากกว่าของส่วนตัวของเขาหล่ะก็ นั่นแหละสิ่งบอกความในใจหล่ะค่ะ และยิ่งไปกว่านั้นนะคะ การตุนของหมายถึงการประกาศให้คนรอบข้าง หรือสาธารณชนรู้ถึงความสำคัญของคุณ ปกติแล้วผู้ชายที่ยังไม่ยอมลงหลักปักฐานกับใคร จะไม่ค่อยซื้อของพวกเนี้ยไปเก็บไว้ที่บ้านหรอกค่ะ ทำไมเหรอคะ ก็กลัวสาวอื่นจะมาเห็นยังไงหล่ะ
3. เขาเริ่มพูดถึงอนาคตถ้าวันดีคืนดีเขาพูดกับคุณถึงเรื่องอีก 3 ปีข้างหน้า ชีวิตเค้าจะเป็นอย่างไร หรือเค้าอยากมีบ้านแบบไหน มันเป็นการบอกความนัยว่าเขาอยากร่วมชีวิตกับคุณ อยากให้คุณวาดฝันที่จะได้ไปอยู่กับเขาหรือมีอนาคตที่เหมือนกับเขา และยิ่งถ้าเขาถามความเห็นของคุณด้วยหล่ะก็ นั่นหมายถึงสัมพันธภาพของคุณไปได้อีกยาวแน่ๆ
4. เขาใส่เสื้อผ้าที่คุณซื้อให้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ผู้ชายใส่เสื้อผ้าที่เห็นได้ชัดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนเลือกเอง นั่นหมายถึงเขากำลังแสดงให้เห็นว่าเขาปล่อยให้คุณเป็นผู้ควบคุม และเปลี่ยนแปลงโฉมให้เขา มันถือว่าเป็นการแสดงออกที่กล้าหาญอย่างมากเชียวนะคะ กับการที่จะถูกเพื่อนๆ โสดของเขาล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวที่เปลี่ยนไป
5. เขาชอบยืนเบียดไหล่กับคุณผู้ชายถ้าไม่อยากให้สัมพันธภาพยืนยาวกับผู้หญิงมากนัก เค้ามักจะไม่ค่อยเดินคลอเคลีย แต่กลับเดินนำหน้า หรือเดินตามหลังคุณห่างๆ แต่ถ้าเค้าตกหลุมรักคุณจริงๆ แล้วหล่ะก็ การเดินเคียงบ่า เคียงไหล่กับคุณ แสดงให้เห็นถึงความผูดมัดของเขาด้วยการรักษาระดับสายตา ให้อยู่แต่ในที่ๆ คุณจะเห็นได้ชัด รวมไปถึงยืนตัวติดกันด้วย6. ยอมให้คุณรับโทรศัพท์ของเขาอันนี้ถือเป็นปราการด่านสำคัญ ที่ทำให้คุณเจาะเข้าไปถึงเรื่องส่วนตัวสุดๆ ของเหล่าชายค่ะ ถ้าเขายอมให้คุณรับโทรศัพท์ของเขา นั่นแสดงว่าเขาไว้ใจคุณ พร้อมที่จะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณ ยอมให้คุณรุกล้ำเข้าไปสู่อาณาจักรส่วนตัว เพราะโทรศัพท์ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในยามที่ผู้ชายมีแฟน การที่เค้ายอมยกสิทธิส่วนตัวอย่างเดียวที่เหลืออยู่นั้นให้คุณ แสดงว่าเค้ารักคุณแล้วจริงๆ เป็นไงคะ เขาของคุณเคยแสดงอาการที่ว่านี้ออกมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเค้าแสดงอาการอย่างว่าออกมาครบทั้ง 6 ข้อแล้วหล่ะก็ คุณนอนยิ้มได้เลย เค้ารักคุณแน่ๆ เพียงแต่รอว่าเมื่อไหร่เค้าจะยอมเอ่ยปากออกมาเท่านั้นเองค่ะ
เร่งนม ลดหุ่น สาวพันปี สารกระตุ้นสวย...ทำได้จริง?
ในยุคสมัยนี้เรือนร่างที่ผอมเพรียว เต่งตึง คัพ ซี กำลังได้รับความนิยมจากทั้งบรรดาสาวเล็ก สาวใหญ่ และสาวไม่จริง จนทำให้สะเทือนถึงผู้ที่ไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง ต่างพากันตบเท้าพึ่งสารกระตุ้นสวยกันเป็นแถว ด้วยความเชื่อที่ว่าเป็นเส้นทางลัดไปสู่หุ่นที่ใฝ่ฝันไว้...นพ.วินัย วนานุกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายถึงยาลดความอ้วนให้ฟังว่า ยาที่นำมาใช้ลดความอ้วนเป็นยา 2 ประเภท กลุ่มแรกเป็น อนุพันธ์ ของกลุ่มยาแอมเฟตามีน ที่รู้จักกันในนามของยาบ้า คำว่าอนุพันธ์ แสดงว่าไม่ใช่แอมเฟตามีน โดยตรง คือ มีโครงสร้างหลักเป็นแอมเฟตามีน แต่มีส่วนประกอบของโครงสร้างอย่างอื่นเพิ่มขึ้นโดยยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร ซึ่งมีใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกประเภทหนึ่ง คือ Xenical มีใช้กันอยู่แต่น้อยกว่ากลุ่มแรกมาก เป็นยาลดการดูดซึมของไขมันในลำไส้ ไม่ให้ลำไส้ดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย เป็นการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่หน้าที่ย่อยไขมัน ทำให้เวลาถ่ายออกมาจะเป็นไขมันเหลว ๆ แม้เพียงผายลมอาจมีของเหลวไหลออกมาได้ด้วย ยากลุ่มนี้จึงใช้ในทางการแพทย์มากกว่าและมีราคาค่อนข้างสูงโดยทั่วไปจึงเป็นยากลุ่มแรกที่ใช้กัน ซึ่งมี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควบคุมอยู่ ไม่ใช่ว่าหาซื้อได้ โดยทั่วไปตามท้องตลาดมีกฎหมายควบคุม นอกจากนี้ทางร้านขายยาหรือคลินิกบางแห่งยังใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย อาทิ ยาขับปัสสาวะ คือ ให้มีการปัส สาวะออกมาให้มาก ซึ่งดูเหมือนน้ำหนักลง แต่ในความจริงเป็นปัสสาวะที่ขับทิ้ง เป็นการเสียน้ำ ไม่ใช่การนำส่วนเกินของร่างกายออกแต่ อย่างใด รวมทั้งยาระบายด้วยในบางแห่งใช้ยาที่ เรียกว่า ไทรอยด์ฮอร์โมน ร่วมเข้าไปด้วย ซึ่งยากลุ่มนี้มักใช้ในผู้ที่เป็นโรค ไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมการเผาผลาญ เมื่อนำมาใช้กับคนปกติจะไปมีผลเร่งการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้มากขึ้นกว่าปกติ “สารในกลุ่มแรก จะมีคุณสมบัติคล้ายกันโดยจะกระตุ้นร่างกายให้กระฉับกระเฉงขึ้น มีแรง หัวใจต้องทำงานตลอดเวลาเพราะร่างกายต้อง ทำงานเหมือนคนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา เมื่อพัฒนากลายเป็นยาที่ช่วยลดความอ้วนจะทำให้เบื่ออาหาร โดยหลักใหญ่ คือ ต้องการให้มีฤทธิ์ในการเบื่ออาหารมาก ๆ แต่ว่ายากลุ่มนี้ยังไม่สามารถทิ้งฤทธิ์ของการที่กระตุ้นร่างกายให้ทำงานมาก ๆ ได้ ตรงนี้เป็นส่วนช่วยอีกทางหนึ่งในการเผาผลาญพลังงาน จึงนิยมนำมาใช้ลดน้ำหนักกัน”
ปกติแพทย์จะนำยาทั้ง 2 กลุ่มมาใช้นั้น จะต้องมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่ชัดเจน หลักการง่าย ๆ คือ จะต้องเป็นโรคอ้วนซึ่งก่อ ให้เกิดอันตรายกับชีวิตได้ เช่น อ้วนมากจนทำให้เป็นโรคนอนกรน มีการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ หรืออ้วนมากจนเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ รวมทั้งส่งผลต่อกระดูก เรื่องของเข่าเสื่อม ซึ่งข้อบ่งชี้สามารถคำนวณได้จากมวลกายที่เกินกำหนด เมื่อการรักษาด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายยังไม่ได้ผลถึงจะมีการจ่ายยากลุ่มนี้ให้กับคนไข้
“ปัญหาอยู่ที่ว่า แนวโน้มของสังคมไทยกับสังคมโลกต้องการผู้ที่มีรูปร่างดี มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนผอม ทำให้ถึงแม้จะมีมวลกายบ่งชี้ว่าปกติ แต่ก็ยังไม่พอใจกับรูปร่างจึงมีการลดน้ำหนักลงให้ผอมลงไปอีก จึงเป็นแนวโน้มของสังคมที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาลดความอ้วนมากเกินความจำเป็นหรือมากเกินไปในสังคมปรากฏการณ์ที่เห็นจึงพบว่า เมื่อกินยาลดความอ้วนแล้วผอมลงได้จริงอย่างเร็ว แต่หลังจากที่หยุดกินยากลับมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามเดิม จึงทำให้คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะใช้ยาต่อเนื่องมากขึ้น ทางการแพทย์จึงไม่แนะนำ” สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ยากลุ่มนี้ในระยะยาวเป็นปี ๆ มีรายงานพบว่า ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาลดความอ้วนในกลุ่มนี้หลายชนิดต้องเลิกจำหน่ายไปการใช้ที่ถูกต้อง คือ ต้องมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าควรจะใช้ และไม่ใช้แค่กินอย่างเดียวแต่ต้องมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย การพึ่งยาเพียงอย่าง เดียวจะเกิดปัญหาขึ้นในระยะ ยาวได้ คือ เมื่อหยุดยาน้ำหนักตัวก็กลับมา จึงจำเป็นต้องกลับไป ใช้ยานั้นอีก เมื่อใช้ยาในระยะนาน ๆ นั้นหมายถึงการมีโอกาสที่จะเกิดโรคตามมาได้ด้วย “โดยทั่วไปคลินิกหรือโรงพยาบาล จะจ่ายยาให้กลุ่มผู้อยู่ในภาวะอ้วนอันตรายเท่านั้น ส่วนใบปลิวที่ติดตามห้องน้ำในแหล่งชุมชนนั้น มีทั้งกลุ่มที่มีใบอนุญาตและไม่มี ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ต้องรอบคอบก่อนตัดสินใจ”สำหรับสารเพิ่มฮอร์โมน โดยทั่วไป คือ ฮอร์โมนเพศหญิง หรือจำพวกพืชที่มีสารเอสโตรเจน อยู่ เช่น กวาวเครือ ซึ่งสารชนิดนี้มีอยู่ในยาคุมกำเนิดด้วย เมื่อ ใช้แล้วจะส่งผลให้หน้าอกและตะโพกขยายขึ้นจริงแต่ต้องใช้เวลานานเป็นปี ๆ ถึงจะเห็นผล เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสรีระไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยในทันทีและเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับผู้หญิงโดยปกติเอสโตรเจนมีไว้สำหรับคนที่ขาดเอสโตรเจน อย่างผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่าวัยทอง ซึ่งมีอาการหงุดหงิดผิดปกติ เพื่อช่วยให้ดีขึ้น รวมทั้งผู้หญิงที่เป็นโรคกระดูกพรุน อาจจะมีบางรายที่ต้องใช้สารตัวนี้ จะไม่มีการใช้ติดต่อกันยาวนานเป็นปี ๆ จะใช้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้ายังไม่หายจะมีการใช้ยาชนิดอื่นทดแทนจากการศึกษาพบว่า การใช้เอสโตรเจนมีความสัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็งเต้านม และ มะเร็งมดลูก รวมทั้ง มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดำ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดหลอดเลือดตีบได้ ฉะนั้นผู้หญิงที่ใช้ยากลุ่มเอสโตร เจนจึงต้องรู้ว่า มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้ได้ด้วย ในส่วนของกลุ่มยาที่ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เต่งตึง เป็นสาวพันปี จะเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ยาแต่เป็นอาหารเสริม เพราะยาหรือ สารใดที่จะอยู่ในกลุ่มยาการขึ้นทะเบียนได้ จะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน ว่ามีประสิทธิภาพยืนยันถึงผลการรักษาโรคและปลอดภัย แต่อาหารเสริมจะไม่มีข้อมูลทางวิชาการในส่วนนี้ ทำให้ส่วนประกอบของอาหารเสริมจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่น สารอนุมูลอิสระทำให้แก่ก็จะมีอาหารเสริมรูปแบบต่าง ๆ ออกมาต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มียาชนิดใดที่พิสูจน์ทางการแพทย์แล้วพบว่า ใช้ยาชนิดนี้แล้วไม่แก่ ช่วยในการลบริ้วรอย โดยส่วนใหญ่จะทำได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น หรือช่วงเวลาที่ใช้เท่านั้น ถ้าไม่ใช้ก็จะกลับมาเหมือนเดิม“ยังคงเชื่อว่า สังขารของคนเรานั้นไม่เที่ยง อาจจะชะลอได้บ้างแต่จะฝืนสังขารไม่ได้ เราพยายามจะเอาชนะธรรมชาติมากมายแต่ยังไม่มีสิ่งใดที่ฝืนธรรมชาติได้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็รวมถึงร่างกายของเราด้วย แต่ไม่ใช่ว่า ให้ละเลยการดูแลร่างกาย สังขารของเราเอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการดูแลร่างกายให้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนนั้น คือ การกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอดี หลีกเลี่ยง สุรา บุหรี่ ยาเสพติด และหมั่นออกกำลังกาย ในส่วนผู้ที่อยากใช้ คงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ถ้าใช้ในระยะยาวนานควรอยู่ในการดูแลของแพทย์” นพ.วินัย กล่าวอย่างห่วงใยทั้งหมดนี้เกิดจากค่านิยมที่เน้นเรื่องของร่างกายมากเกินไปโดยไม่คิดย้อนมองไปที่จิตใจ ลองตั้งคำถามให้ตนเองว่าทำไมต้องเป็นคนหุ่นดี ทำไมต้องเป็นสาวสองพันปี ถ้ามีคำตอบให้กับคำถาม แสดงว่ากำลังหลงอยู่กับภาพลักษณ์มากกว่าที่จะสนใจในแก่นแท้ของชีวิต ทั้งที่ในความเป็นจริงทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมคงจะตรงกับสุภาษิตสอนใจ ที่ว่า “ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน”.
การคำนวณมวลกายทำได้โดย การเอาน้ำหนักมีหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงที่มีหน่วยเมตรยกกำลังสอง จะได้มวลกายออกมาผอมเกินไป จะมีค่า น้อยกว่า 18.5 ( 18.5) เหมาะสม จะอยู่ที่ มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่น้อยกว่า 25 ( 18.5 แต่ 25) น้ำหนักเกิน นั้นจะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่น้อยกว่า 30 ( 25 แต่ 30) อยู่ในภาวะอ้วน จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 30 แต่น้อยกว่า 40 ( 30 แต่ 40) สำหรับในส่วนที่ อันตรายมาก จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 40 ( 40)
From...http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_03762.php
ปกติแพทย์จะนำยาทั้ง 2 กลุ่มมาใช้นั้น จะต้องมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่ชัดเจน หลักการง่าย ๆ คือ จะต้องเป็นโรคอ้วนซึ่งก่อ ให้เกิดอันตรายกับชีวิตได้ เช่น อ้วนมากจนทำให้เป็นโรคนอนกรน มีการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ หรืออ้วนมากจนเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ รวมทั้งส่งผลต่อกระดูก เรื่องของเข่าเสื่อม ซึ่งข้อบ่งชี้สามารถคำนวณได้จากมวลกายที่เกินกำหนด เมื่อการรักษาด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายยังไม่ได้ผลถึงจะมีการจ่ายยากลุ่มนี้ให้กับคนไข้
“ปัญหาอยู่ที่ว่า แนวโน้มของสังคมไทยกับสังคมโลกต้องการผู้ที่มีรูปร่างดี มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนผอม ทำให้ถึงแม้จะมีมวลกายบ่งชี้ว่าปกติ แต่ก็ยังไม่พอใจกับรูปร่างจึงมีการลดน้ำหนักลงให้ผอมลงไปอีก จึงเป็นแนวโน้มของสังคมที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาลดความอ้วนมากเกินความจำเป็นหรือมากเกินไปในสังคมปรากฏการณ์ที่เห็นจึงพบว่า เมื่อกินยาลดความอ้วนแล้วผอมลงได้จริงอย่างเร็ว แต่หลังจากที่หยุดกินยากลับมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามเดิม จึงทำให้คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะใช้ยาต่อเนื่องมากขึ้น ทางการแพทย์จึงไม่แนะนำ” สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ยากลุ่มนี้ในระยะยาวเป็นปี ๆ มีรายงานพบว่า ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาลดความอ้วนในกลุ่มนี้หลายชนิดต้องเลิกจำหน่ายไปการใช้ที่ถูกต้อง คือ ต้องมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าควรจะใช้ และไม่ใช้แค่กินอย่างเดียวแต่ต้องมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย การพึ่งยาเพียงอย่าง เดียวจะเกิดปัญหาขึ้นในระยะ ยาวได้ คือ เมื่อหยุดยาน้ำหนักตัวก็กลับมา จึงจำเป็นต้องกลับไป ใช้ยานั้นอีก เมื่อใช้ยาในระยะนาน ๆ นั้นหมายถึงการมีโอกาสที่จะเกิดโรคตามมาได้ด้วย “โดยทั่วไปคลินิกหรือโรงพยาบาล จะจ่ายยาให้กลุ่มผู้อยู่ในภาวะอ้วนอันตรายเท่านั้น ส่วนใบปลิวที่ติดตามห้องน้ำในแหล่งชุมชนนั้น มีทั้งกลุ่มที่มีใบอนุญาตและไม่มี ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ต้องรอบคอบก่อนตัดสินใจ”สำหรับสารเพิ่มฮอร์โมน โดยทั่วไป คือ ฮอร์โมนเพศหญิง หรือจำพวกพืชที่มีสารเอสโตรเจน อยู่ เช่น กวาวเครือ ซึ่งสารชนิดนี้มีอยู่ในยาคุมกำเนิดด้วย เมื่อ ใช้แล้วจะส่งผลให้หน้าอกและตะโพกขยายขึ้นจริงแต่ต้องใช้เวลานานเป็นปี ๆ ถึงจะเห็นผล เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสรีระไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยในทันทีและเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับผู้หญิงโดยปกติเอสโตรเจนมีไว้สำหรับคนที่ขาดเอสโตรเจน อย่างผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่าวัยทอง ซึ่งมีอาการหงุดหงิดผิดปกติ เพื่อช่วยให้ดีขึ้น รวมทั้งผู้หญิงที่เป็นโรคกระดูกพรุน อาจจะมีบางรายที่ต้องใช้สารตัวนี้ จะไม่มีการใช้ติดต่อกันยาวนานเป็นปี ๆ จะใช้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้ายังไม่หายจะมีการใช้ยาชนิดอื่นทดแทนจากการศึกษาพบว่า การใช้เอสโตรเจนมีความสัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็งเต้านม และ มะเร็งมดลูก รวมทั้ง มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดำ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดหลอดเลือดตีบได้ ฉะนั้นผู้หญิงที่ใช้ยากลุ่มเอสโตร เจนจึงต้องรู้ว่า มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้ได้ด้วย ในส่วนของกลุ่มยาที่ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เต่งตึง เป็นสาวพันปี จะเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ยาแต่เป็นอาหารเสริม เพราะยาหรือ สารใดที่จะอยู่ในกลุ่มยาการขึ้นทะเบียนได้ จะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน ว่ามีประสิทธิภาพยืนยันถึงผลการรักษาโรคและปลอดภัย แต่อาหารเสริมจะไม่มีข้อมูลทางวิชาการในส่วนนี้ ทำให้ส่วนประกอบของอาหารเสริมจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่น สารอนุมูลอิสระทำให้แก่ก็จะมีอาหารเสริมรูปแบบต่าง ๆ ออกมาต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มียาชนิดใดที่พิสูจน์ทางการแพทย์แล้วพบว่า ใช้ยาชนิดนี้แล้วไม่แก่ ช่วยในการลบริ้วรอย โดยส่วนใหญ่จะทำได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น หรือช่วงเวลาที่ใช้เท่านั้น ถ้าไม่ใช้ก็จะกลับมาเหมือนเดิม“ยังคงเชื่อว่า สังขารของคนเรานั้นไม่เที่ยง อาจจะชะลอได้บ้างแต่จะฝืนสังขารไม่ได้ เราพยายามจะเอาชนะธรรมชาติมากมายแต่ยังไม่มีสิ่งใดที่ฝืนธรรมชาติได้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็รวมถึงร่างกายของเราด้วย แต่ไม่ใช่ว่า ให้ละเลยการดูแลร่างกาย สังขารของเราเอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการดูแลร่างกายให้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนนั้น คือ การกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอดี หลีกเลี่ยง สุรา บุหรี่ ยาเสพติด และหมั่นออกกำลังกาย ในส่วนผู้ที่อยากใช้ คงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ถ้าใช้ในระยะยาวนานควรอยู่ในการดูแลของแพทย์” นพ.วินัย กล่าวอย่างห่วงใยทั้งหมดนี้เกิดจากค่านิยมที่เน้นเรื่องของร่างกายมากเกินไปโดยไม่คิดย้อนมองไปที่จิตใจ ลองตั้งคำถามให้ตนเองว่าทำไมต้องเป็นคนหุ่นดี ทำไมต้องเป็นสาวสองพันปี ถ้ามีคำตอบให้กับคำถาม แสดงว่ากำลังหลงอยู่กับภาพลักษณ์มากกว่าที่จะสนใจในแก่นแท้ของชีวิต ทั้งที่ในความเป็นจริงทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมคงจะตรงกับสุภาษิตสอนใจ ที่ว่า “ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน”.
การคำนวณมวลกายทำได้โดย การเอาน้ำหนักมีหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงที่มีหน่วยเมตรยกกำลังสอง จะได้มวลกายออกมาผอมเกินไป จะมีค่า น้อยกว่า 18.5 ( 18.5) เหมาะสม จะอยู่ที่ มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่น้อยกว่า 25 ( 18.5 แต่ 25) น้ำหนักเกิน นั้นจะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่น้อยกว่า 30 ( 25 แต่ 30) อยู่ในภาวะอ้วน จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 30 แต่น้อยกว่า 40 ( 30 แต่ 40) สำหรับในส่วนที่ อันตรายมาก จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 40 ( 40)
From...http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_03762.php
8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย
คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิทตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ
นอนไม่หลับ’ นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับบ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน 3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ 8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบเพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย-สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้.
From....http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_02515.php
นอนไม่หลับ’ นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับบ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน 3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ 8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบเพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย-สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้.
From....http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_02515.php
Subscribe to:
Posts (Atom)