Wednesday, December 3, 2008

*เคยไหม? ภูมิใจกับสิ่งเล็กๆ*

*เคยไหม? ภูมิใจกับสิ่งเล็กๆ*
* *
หลายสิ่งมักจะเกิดขึ้นกับการทำอะไรด้วยตนเองในครั้งแรก ถ้าคุณยังพอจะจำได้ (บ้าง) การปั่นจักรยานเป็น ในวัยเด็ก หรือในตอนที่อายุมากแล้ว แม้ว่าความรู้สึกจริงๆ จะต่างกัน ... แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ คงไม่ต่าง
การทำอะไร ก่อนคนวัยเดียวกันทำได้ ก็เช่นกัน การได้เงินเดือนก้อนแรก แม้ว่าจะน้อยนิด และเงินนั้น ก็อยู่ไม่ถึงสิ้นเดือน การโบกรถเมล์ด้วยตนเอง แล้วรถเมล์จอดให้ขึ้น อาหารจานแรกที่ทำเอง แย่ แต่ก็ดีกว่ากินดิน การถูกรางวัลเลขท้ายสองตัว .... จากที่ตามเลขเด็ดมาเป็นปีๆ *การที่คนที่คุณแอบปลื้มมานานในที่ทำงาน ยิ้มให้คุณแค่เพียงเสี้ยววินาทีชีวิต*
คุณรอดจากการสอบตก มาแบบเส้นยาแดง คุณวิ่งขึ้นรถไฟฟ้า พร้อมๆ กับการปิดของประตูอัตโนมัติ คุณขับรถป้ายแดงวันแรก จากบ้านถึงที่ทำงาน โดยไม่ชนใคร (แต่เหงื่อท่วมมือ) คุณเพิ่งแต่งหน้าวันแรก มีคนชมคุณ ตั้งแต่บ้านจนถึงที่ทำงาน
ความสุขเล็กๆ แม้จะเกิดขึ้นแบบวูบๆ วาบๆ บ้าง ความสุขในรูปแบบเหมือนๆ กัน พร้อมจะเกิดกับคนแต่ละคนเสมอๆ การที่เราหัดที่จะพอใจอะไรง่ายๆ สร้างความภูมิใจเล็กๆ ดีกว่า อยู่กับความทุกข์ แม้ความสุขที่เข้ามา ก็มองไม่เห็น
*เรียนรู้ที่จะสอนตัวเองแบบนั้นบ้าง เมื่อเวลาที่รู้สึกแย่ๆ แล้วจะทำให้โลกนี้ น่าอยู่อีกเยอะ * แล้วคุณหละ มีความภูมิใจเล็กๆ อะไรบ้าง

*ด้านมืด กับด้านสว่าง*

*ด้านมืด กับด้านสว่าง*
ชีวิตคนเรามันก็เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นด้านมืดที่ปกคลุมอยู่ในจิตใจของเรา รอเวลาที่จะปลดปล่อยมันออกมา กับอีกด้านคือด้านสว่างที่มองเห็นด้วยเปลือกตาทั้งสองของทุกๆ คน
ในด้านมืด
อยู่ในส่วนลึกๆ ที่คนยังมีความรู้สึกกิเลสอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโลภ โกรธ หลง ถ้าเราค่อยๆ
ปล่อยออกมาทีละนิด ก็จะไปแสดงในด้านสว่าง แต่ถ้าเราไม่ปล่อยมันก็จะเกาะกินหัวใจของเราทีละนิด ทีละนิด
จนมันเยอะขึ้น เยอะขึ้น แล้วในที่สุดมันก็จะระเบิดออกมาแบบที่น่ากลัวมาก
ในด้านสว่าง
ในบางเรื่องเราก็ดูเหมือนว่าเราทำดี บางเรื่องก็ทำไม่ดี เพราะมีด้านมืดปลดปล่อยออกมาบาง
แต่เมื่อเราค่อยๆ รับมืดกับมันในด้านมืด จิตใจเราก็จะเริ่มสบายขึ้น สบายขึ้น
ในความเป็นมนุษย์ ที่ยังมี ความโลภ โกรธ และหลง ระเริงอยู่ หรือที่เรียกว่ากิเลส เราก็จะรู้สึกถึงความทุกข์ที่ก่อให้เกิดขึ้นมา
เมื่อมีความทุกข์ ความสุขก็จะปิดบังตัวซ่อนอยู่ แต่เวลาที่ความทุกข์มันคลายตัวออก ความสุขก็มักจะมาแทนที่เสมอ
การพูดถึงเรื่องมืด กับสว่างมันง่าย ม้นดูเหมือนง่ายนะที่จะทำให้จิตใจเราเป็นสุขเสมอๆ แต่พอเรามีเรื่องอะไร
บางอย่างมากระทบด้านมืด การหยุดหยั่งไม่ให้คิด โน่นคิดนี่ ก็รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน
ความคิดที่เกิดขึ้นมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้รับมา ถ้าเรา ทำใจในสิ่งที่รู้ว่ามันจะเกิด มันจะทำให้เราคลายได้เร็ว
แต่ถ้าเรามีประสบการณ์น้อย ความคลายมันจะช้าลง
เราต้องสู้ต่อต้านกับด้านมืดและสว่างให้มันสมดุล แล้วเราก็จะสบาย
ฉันก็อยากจะพบกับเส้นทางสายกลางที่ไม่สะทบสะท้านกับอะไรก็ตามที่มาปะทะกับจิตใจ­ได้ง่ายๆ
ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สามารถที่จะไปทางนั้น มันจะเอียงไปทางด้านมืดซะมากกว่าทุกที ใครกระตุ้นอะไรหน่อยก็จะปล่อยมาด้านสว่างเต็มที ทั้งๆ ที่เราควรจะค่อยๆ ปล่อยแล้วรับมือกับมันให้ได้ *ปล. ยิ่งต่อสู้ ก็ยิ่งทำให้เราจิตใจเข้มแข็งแล้วพร้อมที่จะเดินต่อ เพราะในเมื่อเราต้องเกิดมาสร้างสมดุลให้กับโลก แล้วเราจะรีบหนีไปจากโลกทำไม สนุกกับทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นดีกว่าใช่ไหม*
-- ############################
ลดความรุนแรงในความคิด ชีวิตและสังคมเป็นสุข ขอบคุณที่อ่าน
หากเห็นประโยชน์โปรดส่งต่อให้คนที่คุณปราถนาดี อิสระเลือกชีวิตอย่างสร้างสรรค์ ด้วยตัวคุณเอง ############################

สิ่งที่ตนมีและตนเป็น

สิ่งที่ตนมีและตนเป็น
นานมาแล้ว เทพเจ้าเรียกบรรดาสัตว์มาชุมนุมกัน
เพื่อถามถึงความพอใจในรูปร่างหน้าตาของพวกเขา
" เจ้าลิง เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไว ลองมองดูเพื่อน ๆ ของเจ้าสิ เจ้าอยากมีอะไรเหมือนเขาบ้าง ? " เทพเจ้าถาม
" ข้ารึ .. ทำไมข้าถึงจะต้องการอะไรที่แตกต่างไปจากนี้ละ?
ข้ามิได้มี 4 เท้าเหมือนสัตว์อื่นรึ - หน้าตาข้าไม่ดีเท่าสัตว์อื่นรึ? ดูพี่หมีซิ
เมื่อเทียบกับข้าแล้วเขาดูเหมือนภาพเขียนสีน้ำมันหยาบ ๆ ใครนะช่าเขียนเขาขึ้นมาได้ ? " เจ้าลิงตอบ
เจ้าหมียืนขึ้น 2 เท้า บรรดาสัตว์ต่างคิดว่า เขาคงบ่นถึงความอัปลักษณ์ของตัวเอง แต่มันกลับพูดขึ้นว่า
" ข้าคิดว่า หันไปดูเจ้าช้างดีกว่า ดูสิ หางก็น่าเกลียด หูก็ใหญ่ มันเป็นสัตว์ตัวใหญ่เทอะทะเกินไป "
" ข้าคิดว่าเจ้าปลาวาฬต่างหากที่ทั้งใหญ่ทั้งอ้วน น่าเกลียด" เจ้าช้างตอบ
ส่วนมดก็กล่าวหาว่า ตัวหมัดมีรูปร่างผอมมากจนดูไม่ได้ ในขณะที่มันมีรูปร่างดีที่สุดในบรรดาแมลง
ในที่สุดเทพเจ้าก็รำคาญส่งสัตว์ทั้งหลายกลับเข้าป่าไปเพื่อชื่นชมโอ้อวดตัวเองแ­ละตำหนิผู้อื่น..
.....................
มนุษย์เราก็เช่นกันมิใช่หรือ
คนส่วนมากฉลาดที่จะมองข้อเสียของผู้อื่น และมักมองไม่เห็นข้อเสียของตัวเอง
และหากเขามองเห็นข้อเสียของตัวเองก็มักทำเป็นลืมไปเสียโดยเร็ว
เปรียบเสมือนกับคนที่มีกระเป๋า 2 ใบอยู่ ด้านหน้า และ ด้านหลัง
กระเป๋าหลังใส่ความผิดของตัวเองทำให้มองไม่เห็นอย่างถนัด
ส่วนกระเป๋าหน้าใส่ความผิดของผู้อื่น
ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
นิทานเรื่องนี้สอนว่า ถ้าคนเราไม่สามารถที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีและตนเป็น เขาก็คงไม่พอใจอยู่ดี
แม้ว่าโลกนี้ทั้งโลกเป็นของเขา...
-- ############################ ลดความรุนแรงในความคิด ชีวิตและสังคมเป็นสุข ขอบคุณที่อ่าน ถ้าชอบก็ส่งต่อ ไม่ชอบก็ delete อิสระเลือกชีวิตอย่างสร้างสรรค์ ด้วยตัวคุณเอง ############################

ใครชอบความสูง...ยกมือขึ้น

ชอบความสูง:เที่ยวเมืองไทย :-) ภูติดอันดับ....... ;-)
1. ดอยอินทนนท์ ( อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ) 2,571 ม.(อยู่หลังสถานีเรดาห์ สูงกว่าตรงป้ายสูงสุดในสยามที่เขียนว่า 2,565 ม. นิดหน่อย) อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวาง 4646 II
2. ดอยผ้าห่มปก (อ.แม่อาย-อ.ฝาง จ.เชียงใหม่) 2,288 ม. (ส่วนมากจะได้ยินว่า 2,285 ม.)จากนิตยสาร WEEKEND หลายปีก่อน ยังไม่มีแผนที่มายืนยัน
3. ดอยหลวงเชียงดาว (อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่) 2,175 ม. ( แต่ดูเส้นชั้นความสูงแล้วน่าจะสูงกว่า 2,200 ม.อีก) มียอดข้างเคียงคือ ดอยสามพี่น้อง (2150+- ม.) และดอยหนอกหรือดอยพิระมิด (2,150+-ม.) อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวาง 4747 I
4. เขาขาแข็ง (อ.อุ้มผาง จ.ตาก รอการสำรวจอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง) 2,152+- ม. (อาจเป็นได้ว่าเขาลูกนี้จะแซงดอยหลวงเชียงดาว เข้าป้ายที่ 3) มียอดเขาใกล้เคียงชื่อ เขาใหญ่ (2,022 ม.) อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางพิษณุโลก
5. ดอยลังกาหลวง (รอยต่อ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง) 2,030 ม. มียอดดอยใกล้เคียงคือ ดอยผาโง้ม และ ดอยลังกาน้อย ที่สูงเกือบๆ 1,800 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวางบ้านแม่โถ
6. ดอยผีปันน้ำ (ชายแดน อ.ปัว จ.น่าน กับ สปป.ลาว) 2,079 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางไชยบุรี
7. ดอยโล (ชายแดน กิ่ง อ.บ่อเกลือ จ.น่าน กับ สปป.ลาว ที่อาจอยู่เลยเข้าไปในเขตแดนลาวแล้ว) 2,077 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางไชยบุรี
8. ดอยแฝด (ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่นาย Oat เคยเอาแผนที่มาโชว์ แต่ผมไม่มีแผนที่ระวางนั้น) 2,007 ม. โดยมียอดข้างเคียงที่สูง 2,005 ม.
9. ดอยขุนห้วยโป่ง (อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน - อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่) 2,004 ม. มียอดใกล้เคียงคือ ดอยขุนห้วยยา (1,937 ม.) อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวาง 4646 IV 10. ดอยภูคา (อ.ปัว จ.น่าน) 1,980 ม.(น่าจะมีเศษต่อท้ายด้วย) อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางไชยบุรี
10. ดอยผ้าขาว (อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่) 1,980 ม. อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอินทนนท์ แต่*งจากยอดอินทนนท์ไกลพอดู อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวาง 4645 I
11. เขาโมโกจู (อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร - อ.อุ้มผาง จ.ตาก) 1,964 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางนครสวรรค์
12. ดอยอ่างขาง (อ.ฝาง จ.เชียงใหม่) 1,939 ม. โดยดูเหมือนจะมียอดที่สูงกว่านี้เล็กน้อยอยู่ใกล้กันในเขตพม่า อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางเชียงราย
13. ดอยลาน (อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน) 1,918 ม. จากนิตยสาร WEEKEND หลายปีก่อน ยังไม่มีแผนที่มายืนยัน
15. ดอยทุม หรือ ดอยตูม (อ.แม่จัน จ.เชียงราย) 1,906 ม. จากนิตยสาร WEEKEND หลายปีก่อน ยังไม่มีแผนที่มายืนยัน
14. เขาเย็น (อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร - อ.พบพระ จ.ตาก ในเขตอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า) 1,898 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวางพิษณุโลก
15. ดอยหมากส้มขอน (อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน) 1,896 ม. จากนิตยสาร WEEKEND หลายปีก่อน ยังไม่มีแผนที่มายืนยัน
16. ดอยม่อนจอง (อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ - อ.แม่ตื่น จ.ตาก) 1,886 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000 ระวาง อ.ลี้ 1 ปี พิชิตมา 1ดอย อันดับที่ 16 ....ก็ยังดีว่ะ 5555
17. ดอยหัวเสือ (อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่) 1,881 ม. เป็นต้นน้ำของน้ำตกแม่ยะด้วย อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:50,000 ระวาง 4745 IV 18. ดอยภูแว (อ.ปัว จ.น่าน) 1,865 ม. อ้างอิง แผนที่ทหาร 1:250,000
ระวางไชยบุรี--------------------------------------------------------------------------เป็นข้อมูลที่อาจไม่ได้มาตรฐาน...ทางความสูง..แต่ก็เชื่อถือได้ระดับหนึ่งจะได้ปีนป่าย ดั้นด้น กับความสูงที่ชอบ...ได้กี่ภูหว่า ;-)
ขออนุญาตินำมาแบ่งปันให้คนอื่นๆ และขอขอบคุณค่ะ Blog ของคุณ amseen

"8 มุมดีๆ" ในภาวะวิกฤติ

"8 มุมดีๆ" ในภาวะวิกฤติ
ในภาวะวิกฤติที่หลายๆ ธุรกิจกำลังเริ่มเผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน และหลายๆ ธุรกิจเริ่มถูกผลกระทบอย่างรุนแรง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างไรก็แล้วแต่ ผมกลับมองเห็น *"มุมดีๆ"*ที่เกิดขึ้นและแทรกตัวอยู่ในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ และผมเชื่อว่า ผู้นำขององค์กรทุกๆ ธุรกิจ ถ้าลองมองดีๆ ก็จะเห็นประโยชน์ที่เกิดจากมุมดีๆ อย่างที่ผมเห็นเช่นกัน
*มุมดีๆ อันแรก*… เราจะเห็นความระมัดระวัง ในการขับเคลื่อนธุรกิจของผู้นำองค์กร ที่จะคิดก่อนทำ วิเคราะห์ก่อนจ่าย เรียกว่าใช้เงินเป็นมากกว่าตอนภาวะเศรษฐกิจดี ไม่บุ่มบ่าม ไม่ลงทุนแบบเลอะเทอะ หรือมั่นใจแบบไร้สติเหมือนที่เคยทำกันมา
*มุมดีๆ อันที่สอง*.. เราจะเห็นความตื่นตัว เห็นความทุ่มเท เห็นความขยันมากขึ้นของทีมงาน…เพราะเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าขืนขี้เกียจเฉื่อยแฉะเหมือนที่เคยทำในทุกๆ วันที่ผ่านมา ก็จะกลายเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆ ที่อาจจะต้องตกงาน เพราะจะมีทั้งบัณฑิตจบใหม่และคนที่ต้องออกจากงาน มาให้เลือกอีกมากในเร็วๆ นี้
*มุมดีๆ อันที่สาม*… หลายๆ บริษัทจะเริ่มค้นหาไปจนถึงค้นพบ ตลาดใหม่ๆ ทดแทนตลาดเดิมที่กำลังตายไปพร้อมภาวะวิกฤติ และเราจะเลิกยึดติดแต่ตลาดเดิมๆ เพื่อเดินไปหาและสร้างตลาดใหม่ๆ ในช่วงนี้
*มุมดีๆ อันที่สี่*… มุมนี้สำคัญมากๆ ในความคิดเห็นของผม..เพราะเราจะมีโอกาส "ได้คิดกลยุทธ์ใหม่ๆ" ได้มีโอกาสใช้ศักยภาพของทั้งตนเองและทีมงานมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะแค่อยู่รอด หรือเพื่อให้รุ่ง ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะ โอกาสและความสามารถที่ท่านจะรีดออกมาจากตัวท่านเองในช่วงนี้
*มุมดีๆ อันที่ห้า*…. เกือบทุกบริษัท จะเริ่มให้ความสำคัญ ให้ความใส่ใจกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น (ไม่ใช่ให้ความสำคัญแต่ปากแต่ปฏิบัติอีกอย่างในช่วงที่ลูกค้าหาง่าย) เมื่อลองได้ใกล้ชิดและใส่ใจกับลูกค้าแต่ละรายมากยิ่งขึ้น ก็จะเริ่มค้นพบปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ามากยิ่งขึ้น นั่นก็คือโอกาสที่หาได้ยากในภาวะปรกติ
*มุมดีๆ อันที่หก*… หลายๆ บริษัทจะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในเรื่องของสินค้า เพราะค้นพบแล้วว่า สินค้าเดิมไม่มีเสน่ห์พอที่จะดึงดูดลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ๆ ให้มาสนใจ สินค้าใหม่ หรือนวัตกรรมใหม่คือโอกาสที่เกิดจากวิกฤติ
*มุมดีๆ อันที่เจ็ด*… หลายๆ บริษัทจะเริ่มยกระดับการให้บริการ จากเดิมที่ล่าช้าก็ทำให้เร็วขึ้น จากเดิมที่ไม่มีความแตกต่างกับคู่แข่งก็จะสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องการบริ การ และบางบริษัทที่เก่งก็จะค้นพบว่า บริการที่ดีสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นอย่างทันที
*มุมดีๆ ที่แปด*…หลายๆ บริษัทจะเริ่มค้นพบแล้วว่า…ทีมงานทุกหน่วยงานในองค์กร ใครคือทีมงานที่สร้างคุณค่าให้กับหน่วยงานและองค์กร ใครคือทีมงานที่จะเป็นกำลังหลักในการร่วมกันนำองค์กรฝ่าฟันภาวะวิกฤติ และใครคือทีมงานที่…มักจะเอาตัวรอดหรือโดดหนีทันทีเมื่อเจอพายุกระหน่ำ
มุมดีๆ ยังมีมากกว่านี้…แต่เพียงแค่นี้ ผมก็คิดว่า คุ้มค่าแล้วครับที่เราจะมอง "วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น"ในมุมใหม่ ในทางสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น แทนที่จะมานั่งตกอกตกใจแบบกระต่ายตื่นกลัว เสียเวลาเปล่าๆ
เอาเวลาที่จะไปคิดปลดคนก่อนที่จะแก้ไข หรือใช้ศักยภาพคนที่มีอยู่ เอาเวลาที่จะไปนั่งอ่านข่าวแล้วตกใจแบบไร้สติมาคิดมาหา
มามองมุมดีๆ อย่างจริงจังกันดีกว่า..
เพราะถ้ายิ่งมองช้าหรือหาไม่พบ..ก็อาจจะพบจุดจบเหมือนหลายๆ ธุรกิจที่กำลังเป็นก็ได้นะครับ
เรื่อง : ธีรพล แซ่ตั้ง