Thursday, January 10, 2008
โชว์รูปไปBhutan ปี 2003
ตอนนั้นที่ไปรู้สึกสนุกกับสถานที่ใหม่ๆ ที่แปลกตา ปีนั้นไปกะพ่อและพี่ชาย ดูเอานะค่ะว่าคนไหน ตอนนั้นไปทำงานด้วยเที่ยวด้วย ทำงานแบบช่วยท่านฑูตและภรรยา ประจำบังคลาเทศ ณ.ตอนนั้นท่านดูแล 2 ประเทศ ทั้งบังคลาเทศและภูฏาน พอถึงเวลา 5 ธค. ของทุกปี คนการบินไทยซึ่งตอนนั้นพ่อเป็นนายสถานีอยู่ที่บังคลาเทศ และหนิดหนมสถานฑูตไทย จึงมีโอกาสได้ไปถวายการรับใช้กษัตริย์ที่ภูฏาน ในวันพ่อแห่งชาติ ของคนไทย คุณทราบหรือไม่ว่าคนภูฏานรักในหลวงของเรามากนะ คุณรู้สึกอย่างไรค่ะ ตื้นตันนะ ปลื้มใจแทนดลย คุณเห็นพระในรูปไหมค่ะ ท่านชื่อพระครูบาบุญชุ่ม ซึ่งคนไทยภาคเหนือจะรู้จักดี จากที่พวกเราสอบถามได้ความว่า ท่านมาอยู่บนเขาของภูฏานนานมาก แบบว่าวันไหนมีอาหารก็ได้ฉันท์ วันไหนไม่มีก็ไม่ได้ฉันท์ อยู่หลายเดือน จนคนภูฏานเห็นเลยนำอาหารมาถวายบ้าง และเลื่อมใซร้ในตัวท่านจึงยกย่องท่าน จากนั้นทางกษัตริย์ได้มอบบ้าน 1 หลังอยู่บนเขา ซึ่งบ้านหลังนี้เคยมีกษัตริย์องค์หนึ่งประทับอยู่ แต่ท่านได้มอบให้พระองค์นี้ พระครูบาบุญชุ่มท่านได้วีซ่าเข้าภูฏานตลอดชีวิตนะค่ะ ตอนที่ท่านไปอยู่บนเขา ท่านระลึกชาติได้ว่าท่านเคยเกิดเป็นคนภูฏาน ท่านจึงระลึกภาษาและพูดได้อย่างคล่องแคล่ว คนภูฏานจึงยิ่งนับถือท่านมากคะ พวกเรานับถือท่านมากคะ และก็เป็นลูกศิษย์ของท่านด้วย อันนี้เป็นความรู้นะคะ
Wednesday, January 9, 2008
10 เทคนิคการสร้าง Link Popularity
10 เทคนิคการสร้าง Link Popularity ให้กับบล็อกWritten on November 21, 2006 – 6:37 pm by เก่ง เอามาจากคนนี้
การเพิ่มจำนวน Link Popularity เป็นอีกวิธีหนึ่งในกระบวนการทำ SEO ให้กับบล็อกของคุณ นอกเหนือจากการเพิ่ม Link Popularity แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาส ที่คนจะเข้ามาอ่านบล็อกของคุณมากขึ้นด้วย เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงบล็อก ลองดู 10 เทคนิคการสร้าง Link Popularity ให้กับบล็อกของคุณกันดูดีกว่าครับ รับรองว่าสิ่งเหล่านี้ สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ยากเลยครับ
1. Link ไปหาบล็อกอื่นวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือทำ link ไปหาบล็อกอื่น ๆ ที่คุณสนใจก่อนเลย นักเขียนบล็อกหลาย ๆ ท่านมักะใจจดใจจ่อ อยู่ตลอดอยู่แล้วว่า จะมีใครทำ link มาหาบ้าง เมื่อคุณลิงค์ไปหาเค้าก่อน คุณก็อาจจะได้เป็นจุดสนใจ ทำให้เจ้าของบล็อกนั้น ๆ รู้จักบล็อกของคุณ คราวนี้แหละครับ ถ้าบล็อกเราดีจริง เค้าก็คงไม่รังเกียจที่จะทำ link มาหาเราแน่นอนครับ หรือถ้าให้ชัวร์ หลังจากที่คุณทำลิงค์ไปหาบล็อกอื่นแล้ว ลองเมล์ไปบอกเจ้าของบล็อกเค้าด้วยก็ดีครับ ว่าเราทำลิงค์ไปหาแล้วนะครับ
2. ไป Comment ที่บล็อกคนอื่นบ้างเวลาเราไปอ่านบล็อกคนอื่น ก็ไปเขียนคอมเม้นต์ไว้บ้างนะครับ มีคำแนะนำนิดนึงว่า อย่าไป spam comment เค้านะครับ เพราะขนาดเราเองยังรำคาญเวลามีคนมา spam comment ของเรา ใจเขาใจเราครับ ( เพิ่มเติมครับ ตอนนี้ในส่วน comment ของระบบ blog อย่าง wordpress มักจะมีแท็ก no follow ครอบอยู่ ทำให้ไม่สามารถช่วยในเรื่อง link popularity ได้แล้วนะครับ คงได้ประโยชน์คือให้เจ้าของบล็อก รู้จักบล็อกเราเท่านั้ัน)
3. Submit บล็อกเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆข้อนี้ต้องขยันนิดนึง เพราะคุณต้อง submit บล็อกของเราเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ข้อได้เปรียบของบล็อกก็คือ คุณสามารถโปรโมทบล็อกไปสู่ search engine ของเว็บได้ และยังโปรโมทไปสู่ search engine เฉพาะทางเช่นพวก Blog Search Engine ได้อีกด้วย
4. ออกแบบบล็อกให้ดูดีสวยงามถ้าคุณออกแบบบล็อกให้สวย ๆ หรือมีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตา คุณก็มีโอกาสที่จะโปรโมทเว็บของคุณที่ Rookienet หรือเว็บที่พูดคุยถึงเรื่องการดีไซน์เว็บ เป็นต้น
5. ใช้ CSS ในการออกแบบบล็อกหากดีไซน์สวยแล้ว ยิ่งใช้ css ในการ coding เข้าไปอีก โอกาสยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะคุณจะมีโอกาสได้โปรโมทไปสู่ระดับโลก เช่นเว็บ CSSvault ซึ่งถ้าคุณออกแบบสวยและใช้ CSS คุณก็สามารถส่งบล็อกของคุณ เข้าไปให้เค้าพิจารณาได้
6. ทำ Tag ไปหา technoratiบล็อกเสิร์ชเอนจิ้นชื่อดังอย่าง Technorati นั้นมี pagerank ที่สูงทีเดียว ยิ่งถ้าแต่ละบทความของคุณ มีการใส่ tag ไปแจ้ง technorati ไว้ เราจะได้ผลสองทางคือ ทางตรง ได้ไปอยู่ใน technorati directory และ ทางอ้อม คือ bot ของ search engine ต่าง ๆ จะวิ่งต่อจาก technorati มาเก็บข้อมูลในบล็อกของเราด้วย
7. ทำ signature ตอนตอบกระทู้ใน Web Boardเวลาไปตอบกระทู้ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็อย่าลืมตั้งค่า signature ให้ลิงค์มาที่บล็อกของคุณด้วย คำแนะนำคือ ตอบกระทู้ในสิ่งที่คุณตอบได้ อย่า spam เว็บบอร์ด ให้ตอบในเรื่องที่เรารู้จริง จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้บล็อกของเราได้อีกด้วย ลองแวะไปที่เว็บบอร์ดสำหรับชาวบล็อกอย่าง Blogger Talk ก่อนได้
8. ใช้ Social Bookmarkในยุค web 2.0 อย่างตอนนี้ ลองใช้ประโยชน์จากเว็บพวก social bookmark ให้เกิดประโยชน์ ถ้าบทความในบล็อกของเรา ได้ไป link อยู่ในเว็บเหล่านี้ จะเป็นการเพิ่ม traffic และเพิ่ม link popularity ไปในตัว ลองดูเว็บอย่าง del.icio.us หรือ digg แต่ถ้าหากเป็นของไทย ลองแวะไปที่ Zickr
9. Ping ไปที่ Blog Search Engineถ้าระบบบล็อกของคุณเป็นโปรแกรมอย่างพวก WordPress หรือ MovableType คุณก็จะสามารถตั้งค่าของโปรแกรมให้ทำการ ping บทความหรือบล็อกของคุณ เข้าสู่ Blog Search Engine ในทุก ๆ ครั้งที่คุณอัพเดทบล็อกโดยอัตโนมัติ ลองดู ping list ที่นี่ดูครับ หรือถ้าหากใครตั้งค่า ping ไม่เป็น ลองดูวิธีที่ผมเคยเขียน วิธีการ ping ของ WordPress ไว้นะครับ
10. เขียนบทความให้เว็บอื่นหรือบล็อกอื่นๆหลายแห่งเปิดให้เราได้แสดงความสามารถ หรือเขียนบทความที่มีประโยชน์ ต่อกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ หรือบล็อกของเค้า และส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราเขียนเรื่องส่งไป เราจะได้ credit เล็ก ๆ ก็คือ link กลับมาหาบล็อกของเรา
ของดีไม่มีในโลก แต่คนในโลกยังมีดีกันหลายคน เช่น ใจดี
การเพิ่มจำนวน Link Popularity เป็นอีกวิธีหนึ่งในกระบวนการทำ SEO ให้กับบล็อกของคุณ นอกเหนือจากการเพิ่ม Link Popularity แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาส ที่คนจะเข้ามาอ่านบล็อกของคุณมากขึ้นด้วย เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงบล็อก ลองดู 10 เทคนิคการสร้าง Link Popularity ให้กับบล็อกของคุณกันดูดีกว่าครับ รับรองว่าสิ่งเหล่านี้ สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ยากเลยครับ
1. Link ไปหาบล็อกอื่นวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือทำ link ไปหาบล็อกอื่น ๆ ที่คุณสนใจก่อนเลย นักเขียนบล็อกหลาย ๆ ท่านมักะใจจดใจจ่อ อยู่ตลอดอยู่แล้วว่า จะมีใครทำ link มาหาบ้าง เมื่อคุณลิงค์ไปหาเค้าก่อน คุณก็อาจจะได้เป็นจุดสนใจ ทำให้เจ้าของบล็อกนั้น ๆ รู้จักบล็อกของคุณ คราวนี้แหละครับ ถ้าบล็อกเราดีจริง เค้าก็คงไม่รังเกียจที่จะทำ link มาหาเราแน่นอนครับ หรือถ้าให้ชัวร์ หลังจากที่คุณทำลิงค์ไปหาบล็อกอื่นแล้ว ลองเมล์ไปบอกเจ้าของบล็อกเค้าด้วยก็ดีครับ ว่าเราทำลิงค์ไปหาแล้วนะครับ
2. ไป Comment ที่บล็อกคนอื่นบ้างเวลาเราไปอ่านบล็อกคนอื่น ก็ไปเขียนคอมเม้นต์ไว้บ้างนะครับ มีคำแนะนำนิดนึงว่า อย่าไป spam comment เค้านะครับ เพราะขนาดเราเองยังรำคาญเวลามีคนมา spam comment ของเรา ใจเขาใจเราครับ ( เพิ่มเติมครับ ตอนนี้ในส่วน comment ของระบบ blog อย่าง wordpress มักจะมีแท็ก no follow ครอบอยู่ ทำให้ไม่สามารถช่วยในเรื่อง link popularity ได้แล้วนะครับ คงได้ประโยชน์คือให้เจ้าของบล็อก รู้จักบล็อกเราเท่านั้ัน)
3. Submit บล็อกเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆข้อนี้ต้องขยันนิดนึง เพราะคุณต้อง submit บล็อกของเราเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ข้อได้เปรียบของบล็อกก็คือ คุณสามารถโปรโมทบล็อกไปสู่ search engine ของเว็บได้ และยังโปรโมทไปสู่ search engine เฉพาะทางเช่นพวก Blog Search Engine ได้อีกด้วย
4. ออกแบบบล็อกให้ดูดีสวยงามถ้าคุณออกแบบบล็อกให้สวย ๆ หรือมีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตา คุณก็มีโอกาสที่จะโปรโมทเว็บของคุณที่ Rookienet หรือเว็บที่พูดคุยถึงเรื่องการดีไซน์เว็บ เป็นต้น
5. ใช้ CSS ในการออกแบบบล็อกหากดีไซน์สวยแล้ว ยิ่งใช้ css ในการ coding เข้าไปอีก โอกาสยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะคุณจะมีโอกาสได้โปรโมทไปสู่ระดับโลก เช่นเว็บ CSSvault ซึ่งถ้าคุณออกแบบสวยและใช้ CSS คุณก็สามารถส่งบล็อกของคุณ เข้าไปให้เค้าพิจารณาได้
6. ทำ Tag ไปหา technoratiบล็อกเสิร์ชเอนจิ้นชื่อดังอย่าง Technorati นั้นมี pagerank ที่สูงทีเดียว ยิ่งถ้าแต่ละบทความของคุณ มีการใส่ tag ไปแจ้ง technorati ไว้ เราจะได้ผลสองทางคือ ทางตรง ได้ไปอยู่ใน technorati directory และ ทางอ้อม คือ bot ของ search engine ต่าง ๆ จะวิ่งต่อจาก technorati มาเก็บข้อมูลในบล็อกของเราด้วย
7. ทำ signature ตอนตอบกระทู้ใน Web Boardเวลาไปตอบกระทู้ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็อย่าลืมตั้งค่า signature ให้ลิงค์มาที่บล็อกของคุณด้วย คำแนะนำคือ ตอบกระทู้ในสิ่งที่คุณตอบได้ อย่า spam เว็บบอร์ด ให้ตอบในเรื่องที่เรารู้จริง จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้บล็อกของเราได้อีกด้วย ลองแวะไปที่เว็บบอร์ดสำหรับชาวบล็อกอย่าง Blogger Talk ก่อนได้
8. ใช้ Social Bookmarkในยุค web 2.0 อย่างตอนนี้ ลองใช้ประโยชน์จากเว็บพวก social bookmark ให้เกิดประโยชน์ ถ้าบทความในบล็อกของเรา ได้ไป link อยู่ในเว็บเหล่านี้ จะเป็นการเพิ่ม traffic และเพิ่ม link popularity ไปในตัว ลองดูเว็บอย่าง del.icio.us หรือ digg แต่ถ้าหากเป็นของไทย ลองแวะไปที่ Zickr
9. Ping ไปที่ Blog Search Engineถ้าระบบบล็อกของคุณเป็นโปรแกรมอย่างพวก WordPress หรือ MovableType คุณก็จะสามารถตั้งค่าของโปรแกรมให้ทำการ ping บทความหรือบล็อกของคุณ เข้าสู่ Blog Search Engine ในทุก ๆ ครั้งที่คุณอัพเดทบล็อกโดยอัตโนมัติ ลองดู ping list ที่นี่ดูครับ หรือถ้าหากใครตั้งค่า ping ไม่เป็น ลองดูวิธีที่ผมเคยเขียน วิธีการ ping ของ WordPress ไว้นะครับ
10. เขียนบทความให้เว็บอื่นหรือบล็อกอื่นๆหลายแห่งเปิดให้เราได้แสดงความสามารถ หรือเขียนบทความที่มีประโยชน์ ต่อกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ หรือบล็อกของเค้า และส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราเขียนเรื่องส่งไป เราจะได้ credit เล็ก ๆ ก็คือ link กลับมาหาบล็อกของเรา
ของดีไม่มีในโลก แต่คนในโลกยังมีดีกันหลายคน เช่น ใจดี
Tuesday, January 8, 2008
กษัตริย์ยอดกตัญญู
คุณรักแม่ของคุณไม๊ ?? รบกวนเวลาคุณเพียงนิดเดียว เพื่อรับความซาบซึ้ง ที่ในหลวงพ่อของแผ่นดิน มีต่อสมเด็จย่า ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ขอร้อง!!! กรุณาอ่านให้จบ และก่อนที่คุณอยากจะลบ ส่งต่อคนที่คุณนึกถึง และส่งกลับคนที่ส่งให้คุณ เพื่อเผยแพร่สิ่งดีๆ ---- ด้วยผลการกระทำนี้ .. ขอให้คุณประสบความสำเร็จในทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนา ตลอดปี 2551----------------------------------------------------------------------------------------------------- พระมหากษัตริย์ ยอดกตัญญู ยามป่วยไข้..หวังเจ้า..เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวงทำกับสมเด็จย่ายังไงสมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชในหลวงไปเยี่ยมตอนไหนครับ?.....ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2ตี 4 เศษๆ ..จึงเสด็จกลับไปเฝ้าแม่วันละหลายชัวโมงแม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในหลวงเสด็จไปประทับกับแม่ตอนแม่ป่วยไปทุกวัน ไปให้ความอบอุ่นประทับอยู่วันละหลายชั่วโมงนี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ คราวหนึ่งในหลวงป่วย.. สมเด็จย่าก็ป่วยไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุมตึกตอนเช้า...ในหลวงเปิดประตู ออกมาพยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลม...ผ่านหน้าห้องพอดีในหลวงพอเห็นแม่...รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาลเข็นรถมหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร..ไม่ต้องเข็นมีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้วในหลวงมีรับสั่งว่า...เเม่ของเราทำไมต้องให้คนอื่นเข็น. . .เราเข็นเองได้. . . นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นกษัตริย์ ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ ป้อนยาให้แม่...ให้ความอบอุ่นแก่แม่... เลี้ยงหัวใจแม่... ยอดเยี่ยมจริงๆเห็นภาพนี้แล้ว..ซาบซึ้ง ตอนที่3เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวาหวังลูกช่วย...ปิดตา...เมื่อสิ้นใจ วันนั้น. . .ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี 4 ตี 5เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน...จับมือแม่ กอดแม่ ปรนนิบัติแม่จนกระทั่ง...แม่หลับ จึงเสด็จกลับพอไปถึงวัง...เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ในหลวงรีบเสด็จกลับไปศิริราชเห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง...ในหลวงทำยังไงครับ? ในหลวงตรงเข้าไป...คุกเข่ากราบลงที่หน้าอกแม่พระพักตร์ในหลวงตรงกับหัวใจแม่..."ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย..." ซบหน้านิ่งอยู่นาน...แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น...น้ำพระเนตรไหลนองต่อไปนี้จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้วเอามือกุมมือแม่ไว้...มือนิ่มๆ ที่ไกวเปลนี้แหละที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมืองชีวิตลูก...แม่ปั้น มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่...ในหลวงจับหวีค่อยๆ...หวีผมให้แม่หวี...หวี...หวี......หวีให้แม่สวยที่สุดแต่งตัวให้แม่สวยที่สุด. . . ในวันสุดท้ายของแม่ . . . เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุดเป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว"กษัตริย์ยอดกตัญญู" ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ------------------------------------------------------------------------------------------------ จบแล้ว ส่งต่อคนที่คุณนึกถึง และส่งกลับคนที่ส่งให้คุณ เพื่อเผยแพร่สิ่งดีๆ ---- ด้วยผลการกระทำนี้ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนา ตลอดปี 2551 ---
Labels:
กตัญญู,
กราบ,
คุณแม่,
ทรงพระเจริญ,
ในหลวง,
ประชวร,
พระมหากษัตริย์,
สมเด็จย่า
เรื่องเล่าของซัมซุง ที่ใครหลายคนซาบซึ้งมิเสื่อมคลาย
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า หันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะพ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า"ผมขโมยเองครับ" ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยกลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้แล้วพูดว่า "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว''ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปีเมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า"ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อได้พูดว่า"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้''แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว > ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่''ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปีด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3> > >> > > วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"> > > ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???> > >> > > ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง > > > ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะน้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า> "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่> > > เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดีฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ> > > " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"> > >> > > จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง > > > เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน> > >> > > แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"> > >> > > ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี> > >> > > วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก> > > ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว> > >> > > เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป > > > ฉันพูดกับแม่ว่า> > > "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" > > >> > > แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า> > > "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน > > > ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"> > >> > > ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา > > > ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ> > >> > > ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด> > > " เจ็บมากไหม" ฉันถาม> > >> > > "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด > > > แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ> > > และ........"> > >> > > น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง> > > "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" > > >> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...> > >> > > หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง> > > หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน....> > > แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ> > > ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี> > > จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม> > >> > > น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป> > > เขาบอกกับฉันว่า > > > "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"> > >> > > สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว > > > เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท> > > แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา> > >> > > วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล> > > และตกลงมาเ! พราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล> > >> > > ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล> > > น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา> > > ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! > > > ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" > > >> > > คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา> > > "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"> > > น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย> > >> > > ฉันบอกกับน้องว่า> > > "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." > > > "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"> > > น้องชายของฉันจับมือฉันไว้> > >> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...> > >> > > เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน> > > ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า > > > "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"> > > และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.> > > เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน> > >> > > วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง> > > และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล> > > เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ...นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"> > >> > > เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน> > > คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก> > > "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"> > > ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... > > >> > > จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ> > > วันในชีวิตของคุณและเขา> > > คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ > > > แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง> > > ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ> > > พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน > > > หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม> > >> > > จบบริบูรณ์....> > >> > > ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86> > > ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท> > >> > > ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ> > > ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"> > >> > > และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์> > >> > > โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค> > >> > > บู มิง ฮอง> > > เล่าเรื่อง
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยกลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้แล้วพูดว่า "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว''ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปีเมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า"ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อได้พูดว่า"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้''แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว > ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่''ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปีด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3> > >> > > วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"> > > ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???> > >> > > ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง > > > ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะน้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า> "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่> > > เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดีฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ> > > " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"> > >> > > จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง > > > เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน> > >> > > แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"> > >> > > ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี> > >> > > วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก> > > ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว> > >> > > เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป > > > ฉันพูดกับแม่ว่า> > > "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" > > >> > > แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า> > > "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน > > > ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"> > >> > > ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา > > > ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ> > >> > > ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด> > > " เจ็บมากไหม" ฉันถาม> > >> > > "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด > > > แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ> > > และ........"> > >> > > น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง> > > "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" > > >> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...> > >> > > หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง> > > หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน....> > > แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ> > > ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี> > > จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม> > >> > > น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป> > > เขาบอกกับฉันว่า > > > "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"> > >> > > สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว > > > เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท> > > แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา> > >> > > วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล> > > และตกลงมาเ! พราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล> > >> > > ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล> > > น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา> > > ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! > > > ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" > > >> > > คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา> > > "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"> > > น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย> > >> > > ฉันบอกกับน้องว่า> > > "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." > > > "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"> > > น้องชายของฉันจับมือฉันไว้> > >> > > ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...> > >> > > เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน> > > ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า > > > "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"> > > และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.> > > เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน> > >> > > วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง> > > และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล> > > เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ...นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"> > >> > > เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน> > > คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก> > > "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"> > > ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... > > >> > > จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ> > > วันในชีวิตของคุณและเขา> > > คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ > > > แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง> > > ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ> > > พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน > > > หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม> > >> > > จบบริบูรณ์....> > >> > > ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86> > > ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท> > >> > > ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ> > > ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"> > >> > > และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์> > >> > > โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค> > >> > > บู มิง ฮอง> > > เล่าเรื่อง
urgent
แจ้งเหตุร้ายจากสำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยบอกต่อขณะนี้กำลังมีการระบาดของ กลุ่มมิจฉาชีพ แกล้งทำทีมาขาย สเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆแล้ว สารในสเปรย์กระป๋อง นั้นคือ คลอโรฟอร์ม ที่ทำให้ท่านสลบได้เหตุการณ์ เริ่มจากเด็กสาววัยรุ่นท่าทางดีมาเคาะกระจกขณะรถจอดหรือรี่เข้ามาขณะท่านกำลังจะเข้ารถบริเวณลานจอดรถ ตามที่สาธารณะทั่วไป หากท่านไม่ระวังหรือไขกระจกรถเพื่อพูดคุยด้วยสเปรย์จะถูกฉีดเข้าในรถทันที เมื่อท่านสลบ งัวเงีย สลึมสลือไม่ได้สติ ผู้ชายอีก 2-3 คนจะเข้ามาปลดทรัพย์ หรืออาจทำอันตรายร่างกายของท่านได้เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกท่าน ขอให้ระวังตัวในทุกย่างก้าว และไม่ประมาทด้วยความปราถนาดี และห่วงใยเสมอ สำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยกระจายต่อด้วยนะคะเพื่อความปลอดภัยของตัว ท่านเองและบุคคลที่รัก (มีคนเคยโดนแล้วมาเล่าให้ฟังค่ะ คุณอาจต้องเอาน้ำเปล่าขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อดื่มก็ดีนะค่ะ)
Labels:
คลอโรฟอร์ม,
จอดรถ,
น้ำเปล่า,
มิจฉาชีพ,
เรื่องจริง,
สนง.ตำรวจแห่งชาติ,
สเปรย์
เรื่องเล่าในวังอ่านยังไงก็ไม่เบื่อ
เรื่องเล่าจากในวัง- อ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่เบื่อ> >ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิด> ทีจังหวัดตาก> >เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ> >และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด> >และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา> >ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"> >แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท> >และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"> >เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน>
>---------------------------------------> >เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า> >นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ> ฟ้าหญิง> >ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย> >ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์> >นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่> หว่า> >แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ> >ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์> >แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง>
>------------------------------------> >อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน> >เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง> >ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล> >ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน> >เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า> > "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ> พุทธเจ้า.."> > มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน> > ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..> > พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า> >มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป> >ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย> >และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"> >เรื่องนี้ ดร.สุ เมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้> ในหลวง>
>-------------------------------------> >เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น> > เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของ> ท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ> >ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์">
>--------------------------------------> >เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง> แผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่> >ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน> >ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน> >ว่า " ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม> >ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูล> รายงาน ฯลฯ"> >เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่> ถือสาว่า> > "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."> >ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย> >เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้>
>------------------------> >มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย> แห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย> >ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุด> ไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"> > ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า> "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก">
>------------------------> >เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร> >อยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว> >แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า> >"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"> >ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว "
> >--------------------------> >วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด> >ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย> >พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท> >ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท> >แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า> >"ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง"> >แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย> >แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร> >แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือ> ไม่> >แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น> >ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า> >"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ> >ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
> >-------------------> >ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว> >พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน> >มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา> >> >คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์> >ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ> >อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"> >พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"> >แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ> >ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ> >เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป>
>------------------------------> >> >เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า> >มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร> >อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ> >ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว> >ปรากฏว่า ในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า> >"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"> >และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...> >ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป> >พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว> >ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท> >ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง> >เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม> >ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน>**
เจ้าของblogดีใจที่ได้อ่านจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ด้วยความตื้นตันและรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อหลวงที่เราควรรักอย่างยิ่งเพราะจะหาใครที่เหมือนท่านคงไม่มีอีกแล้ว วันนี้คุณทำดีเพื่อพ่อรึยังค่ะ
>---------------------------------------> >เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า> >นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ> ฟ้าหญิง> >ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย> >ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์> >นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่> หว่า> >แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ> >ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์> >แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง>
>------------------------------------> >อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน> >เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง> >ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล> >ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน> >เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า> > "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ> พุทธเจ้า.."> > มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน> > ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..> > พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า> >มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป> >ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย> >และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"> >เรื่องนี้ ดร.สุ เมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้> ในหลวง>
>-------------------------------------> >เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น> > เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของ> ท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ> >ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์">
>--------------------------------------> >เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง> แผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่> >ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน> >ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน> >ว่า " ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม> >ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูล> รายงาน ฯลฯ"> >เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่> ถือสาว่า> > "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."> >ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย> >เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้>
>------------------------> >มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย> แห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย> >ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุด> ไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"> > ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า> "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก">
>------------------------> >เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร> >อยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว> >แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า> >"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"> >ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว "
> >--------------------------> >วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด> >ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย> >พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท> >ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท> >แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า> >"ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง"> >แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย> >แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร> >แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือ> ไม่> >แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น> >ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า> >"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ> >ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
> >-------------------> >ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว> >พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน> >มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา> >> >คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์> >ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ> >อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"> >พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"> >แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ> >ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ> >เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป>
>------------------------------> >> >เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า> >มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร> >อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ> >ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว> >ปรากฏว่า ในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า> >"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"> >และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...> >ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป> >พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว> >ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท> >ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง> >เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม> >ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน>**
เจ้าของblogดีใจที่ได้อ่านจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ด้วยความตื้นตันและรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อหลวงที่เราควรรักอย่างยิ่งเพราะจะหาใครที่เหมือนท่านคงไม่มีอีกแล้ว วันนี้คุณทำดีเพื่อพ่อรึยังค่ะ
Labels:
king,
King of Thailand,
story,
ขอทรงพระเจริญ,
ในหลวง,
เรื่องจริง,
เรื่องเล่า
Sunday, January 6, 2008
หนังสือพิมพ์บังคลาเทศ
จำได้ม่ะว่าใครอยู่ในรูปตอนนั้นเริ่มอ้วน ครั้นไปขายผลไม้เพื่อให้คนต่างชาติและคนบังคลาเทศรู้ว่าผลไม้ไทยนั้นอร่อยมาก ในนามการบินไทยและสถานฑูตไทยประจำบังคลาเทศ ซึ่งณ ตอนนั้น ท่านฑูตพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งอยู่จ้า ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกคค่ะว่ามีหนังสือพิมพ์ที่โน้นมาทำข่าวด้วย เผอิญพี่ที่นั้นเอามาให้เลยรู้ เค้าถ่ายคนสวยรึเปล่าเนี่ย (555) ล้อเล่นนะค่ะ แปลว่าอะไรไม่รู้ค่ะ อ่านไม่ออก แปลไม่ได้ด้วย ชีวิตตอนนั้นสนุกไงไม่รู้
Friday, January 4, 2008
กระตุ้นต่อมหึง
อินเลิฟ
6 เคล็ดลับกระตุ้นต่อมความหึงหวงของผู้ชาย
หากสาวใดจะปฎิบัติตามเคล็ดลับกระตุ้นต่อมหึงหวงนี้ล่ะก็ โปรดพินิจพิจารณานิสัยของคุณผู้ชายให้ดีเสียก่อนนะคะ หากเขาเป็นสุภาพบุรุษสุดๆล่ะก็ ทำตามวิธีนี้เวิร์คชัวร์ๆ ตรงกันข้าม ถ้าแฟนหนุ่มเป็นคนขี้หึงมากๆ แถมเป็นคนชอบความรุนแรงอีกต่างหาก ขืนดื้อทำทีเป็นนอกใจล่ะก็ คุณมีหวังโดนหนุมานถวายแหวน นอนโรงพยาบาล ลองๆเอาไปประยุกต์ดูดีกว่านะคะ 1. แกล้งทักเขาผิดด้วยชื่อแฟนเก่า เป็นวิธีที่ได้ผลดีจริงๆ หากเราทำทีเป็นเอ่ยนามแฟนเก่าแบบไม่ตั้งใจล่ะก็ คุณผู้ชายก็จะเกิดเอะใจขึ้นมาทันทีว่า ถ่านไฟเก่าของคุณยังดับไม่หมดอีกหรือ หรืออาจจะฉุกคิดขึ้นมาว่าคุณยังแอบปันใจให้คนรักเก่าอยู่ เพียงเท่านั้นแหละ เขาก็จะออกอาการหึงหวงขึ้นมาทันที 2. ทำให้เขาคิดว่าเขายังมีคู่แข่งเรื่องหัวใจอยู่ เป็นสัจธรรมเสียแล้วว่ามนุษย์เพศชายต่างมองกันและกันเป็นศัตรูเรื่องความรัก ชี้โพรงให้แล้ว กระรอกสาวอย่างคุณก็ควรหาทางทำทีเป็นสนิทสนมกับกระรอกหนุ่มตัวอื่นอย่างออกหน้าออกตาให้เขาเห็น แต่ถ้ากลัวมีปัญหา ลองควงเกย์หนุ่มเพื่อนร่วมงานไปเดิน Shopping จิ๊จ๊ะตามศูนย์การค้า (แต่ห้ามหลุดตุ้งติ้งเป็นเด็ดขาด) ถ้าแฟนคุณมาเจอล่ะก็รับรองว่างานนี้มีต่อย ! 3.ทำให้เขาเห็นว่าคุณยังมีค่าและยังเป็นที่หมายปองของชายคนอื่นๆ ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะส่งดอกไม้ให้ผู้หญิง เมื่อมีปัญหาทะเลาะมีปากเสียง และอยากจะขอโทษฝ่ายหญิง เป็นไปได้ไหมถ้าคุณจะแอบบส่งดอกไม้พร้อมแนบการ์ดลงชื่อชายอื่นให้กับตัวคุณเอง เพียงเท่านี้ก็จะสร้างความฉงนสงสัยแก่คนรักของคุณถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับชายหนุ่มเจ้าของดอกไม้ช่อนี้ แล้วเขาก็จะกลับมาโรแมนติกกับคุณมากขึ้น เพื่อหาทางตะล่อมถามคุณถึงที่มาของช่อดอกไม้ 4. เข้าฟิตเนสเช็กเรตติ้งของตัวเอง การเข้าฟิตเนสของคุณเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังฟิตเชปกลับไปเพอร์เฟคเหมือนเดิม แน่นอนว่าพ่อหนุ่มของคุณคงอดคิดไม่ได้ว่าหนุ่มๆที่มาออกกำลังที่ฟิตเนสจะเข้ามาเกาะแกะกับคุณ ที่สำคัญคือการกลับไปมีเชปสวยหุ่นดีของคุณ จะบอกแก่คุณผู้ชายเป็นนัยๆว่าคุณนั้นยังสาว ยังสวยพอที่หาแฟนใหม่ได้ ดังนั้น เขาก็จะหยอดคำหวานใส่คุณยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อกำจัดคู่แข่ง 5. ชมชายในฝันให้เขาฟัง แม้เมื่อดูหนังดูละครด้วยกัน ลองชมพระเอกฮีโร่คนโปรดของคุณอย่างออกนอกหน้าเป็นประจำสิ เขาของคุณก็จะหันมาสนใจคุณมากขึ้น ราวกับคุณเป็นนางเอกนอกจอเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะเขาจะคิดว่าคุณไม่เคยชมหรือคลั่งไคล้เขาเหมือนกับที่ทำกับดาราหนุ่มคนโปรดเอาเสียเลย 6. หายหน้าหายตาจากเขาไปสักพัก บางครั้งการเจอหน้าค่าตากันทุกวัน บางครั้งทำให้รู้สึกว่าความรักของคุณไม่เข้มข้นหวานมันเหมือนเมื่อตอนเริ่มออกเดท ลองหลบหน้าเลี่ยงการนัดพบกันสักระยะ แล้วออกเที่ยวและตะลุยราตรีตาามประสาคนโสดกับกลุ่มเพื่อนสาวของคุณสักพัก เขาของคุณจะคลั่งจนเป็นบ้าเลยเชียวแหละ เพราะหญิงสาวสวยอย่างคุณกับเพื่อนๆของคุณ ต่างเป็นที่หมายปองและต้องตาต้องใจของหนุ่มๆกันทั้งนั้นแหละ ขอย้ำนะคะว่าให้พิจารณาคู่รักของคุณให้ดีก่อน เพราะการกระทำนี้จะส่งผลอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจของคุณเองค่ะ ถ้าเขารักคุณจนหมดใจแต่เริ่มห่างหายจากความโรแมนติกเหมือนแต่ก่อน และเขาเป็นคนอ่อนโยนแล้วล่ะก็ลองใช้วิธีเหล่นี้ดูเลยค่ะ แต่หากเขาแข็งกระด้าง แถมเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองแล้วล่ะก็ คงต้องหาวิธีใหม่กันแล้วล่ะค่ะ
6 เคล็ดลับกระตุ้นต่อมความหึงหวงของผู้ชาย
หากสาวใดจะปฎิบัติตามเคล็ดลับกระตุ้นต่อมหึงหวงนี้ล่ะก็ โปรดพินิจพิจารณานิสัยของคุณผู้ชายให้ดีเสียก่อนนะคะ หากเขาเป็นสุภาพบุรุษสุดๆล่ะก็ ทำตามวิธีนี้เวิร์คชัวร์ๆ ตรงกันข้าม ถ้าแฟนหนุ่มเป็นคนขี้หึงมากๆ แถมเป็นคนชอบความรุนแรงอีกต่างหาก ขืนดื้อทำทีเป็นนอกใจล่ะก็ คุณมีหวังโดนหนุมานถวายแหวน นอนโรงพยาบาล ลองๆเอาไปประยุกต์ดูดีกว่านะคะ 1. แกล้งทักเขาผิดด้วยชื่อแฟนเก่า เป็นวิธีที่ได้ผลดีจริงๆ หากเราทำทีเป็นเอ่ยนามแฟนเก่าแบบไม่ตั้งใจล่ะก็ คุณผู้ชายก็จะเกิดเอะใจขึ้นมาทันทีว่า ถ่านไฟเก่าของคุณยังดับไม่หมดอีกหรือ หรืออาจจะฉุกคิดขึ้นมาว่าคุณยังแอบปันใจให้คนรักเก่าอยู่ เพียงเท่านั้นแหละ เขาก็จะออกอาการหึงหวงขึ้นมาทันที 2. ทำให้เขาคิดว่าเขายังมีคู่แข่งเรื่องหัวใจอยู่ เป็นสัจธรรมเสียแล้วว่ามนุษย์เพศชายต่างมองกันและกันเป็นศัตรูเรื่องความรัก ชี้โพรงให้แล้ว กระรอกสาวอย่างคุณก็ควรหาทางทำทีเป็นสนิทสนมกับกระรอกหนุ่มตัวอื่นอย่างออกหน้าออกตาให้เขาเห็น แต่ถ้ากลัวมีปัญหา ลองควงเกย์หนุ่มเพื่อนร่วมงานไปเดิน Shopping จิ๊จ๊ะตามศูนย์การค้า (แต่ห้ามหลุดตุ้งติ้งเป็นเด็ดขาด) ถ้าแฟนคุณมาเจอล่ะก็รับรองว่างานนี้มีต่อย ! 3.ทำให้เขาเห็นว่าคุณยังมีค่าและยังเป็นที่หมายปองของชายคนอื่นๆ ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะส่งดอกไม้ให้ผู้หญิง เมื่อมีปัญหาทะเลาะมีปากเสียง และอยากจะขอโทษฝ่ายหญิง เป็นไปได้ไหมถ้าคุณจะแอบบส่งดอกไม้พร้อมแนบการ์ดลงชื่อชายอื่นให้กับตัวคุณเอง เพียงเท่านี้ก็จะสร้างความฉงนสงสัยแก่คนรักของคุณถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับชายหนุ่มเจ้าของดอกไม้ช่อนี้ แล้วเขาก็จะกลับมาโรแมนติกกับคุณมากขึ้น เพื่อหาทางตะล่อมถามคุณถึงที่มาของช่อดอกไม้ 4. เข้าฟิตเนสเช็กเรตติ้งของตัวเอง การเข้าฟิตเนสของคุณเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังฟิตเชปกลับไปเพอร์เฟคเหมือนเดิม แน่นอนว่าพ่อหนุ่มของคุณคงอดคิดไม่ได้ว่าหนุ่มๆที่มาออกกำลังที่ฟิตเนสจะเข้ามาเกาะแกะกับคุณ ที่สำคัญคือการกลับไปมีเชปสวยหุ่นดีของคุณ จะบอกแก่คุณผู้ชายเป็นนัยๆว่าคุณนั้นยังสาว ยังสวยพอที่หาแฟนใหม่ได้ ดังนั้น เขาก็จะหยอดคำหวานใส่คุณยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อกำจัดคู่แข่ง 5. ชมชายในฝันให้เขาฟัง แม้เมื่อดูหนังดูละครด้วยกัน ลองชมพระเอกฮีโร่คนโปรดของคุณอย่างออกนอกหน้าเป็นประจำสิ เขาของคุณก็จะหันมาสนใจคุณมากขึ้น ราวกับคุณเป็นนางเอกนอกจอเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะเขาจะคิดว่าคุณไม่เคยชมหรือคลั่งไคล้เขาเหมือนกับที่ทำกับดาราหนุ่มคนโปรดเอาเสียเลย 6. หายหน้าหายตาจากเขาไปสักพัก บางครั้งการเจอหน้าค่าตากันทุกวัน บางครั้งทำให้รู้สึกว่าความรักของคุณไม่เข้มข้นหวานมันเหมือนเมื่อตอนเริ่มออกเดท ลองหลบหน้าเลี่ยงการนัดพบกันสักระยะ แล้วออกเที่ยวและตะลุยราตรีตาามประสาคนโสดกับกลุ่มเพื่อนสาวของคุณสักพัก เขาของคุณจะคลั่งจนเป็นบ้าเลยเชียวแหละ เพราะหญิงสาวสวยอย่างคุณกับเพื่อนๆของคุณ ต่างเป็นที่หมายปองและต้องตาต้องใจของหนุ่มๆกันทั้งนั้นแหละ ขอย้ำนะคะว่าให้พิจารณาคู่รักของคุณให้ดีก่อน เพราะการกระทำนี้จะส่งผลอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจของคุณเองค่ะ ถ้าเขารักคุณจนหมดใจแต่เริ่มห่างหายจากความโรแมนติกเหมือนแต่ก่อน และเขาเป็นคนอ่อนโยนแล้วล่ะก็ลองใช้วิธีเหล่นี้ดูเลยค่ะ แต่หากเขาแข็งกระด้าง แถมเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองแล้วล่ะก็ คงต้องหาวิธีใหม่กันแล้วล่ะค่ะ
9วิธีเอาจัยชาย
9 วิธีเอาผู้ชายให้อยู่หมัด
ผู้หญิงสวยหลายคนมักจะทะนงตัวเอง ว่าจะใช้ความสวยสยบทุกสิ่งได้ ช้าก่อน! นับจากนี้เป็นต้นไป ความมีเสน่ห์ต่างหากที่จะตราตรึงหัวใจของชายหนุ่มที่คุณหมายปองไม่ให้ดิ้นหลุด แถมยั่งยืนยาวนานกว่าความสวยเป็นไหน ๆ ซึ่งการรู้จักบริหารเสน่ห์นั้นก็คือ การใช้จริตให้ถูกลักษณะนั่นเอง และในที่นี้มันคือเรื่องเดียวกัน 1. ปิ๊งหนุ่มคนไหนยิ้มให้ก่อนเลยเป็นเคล็ดลับเด็ด ๆ แต่ง่ายแสนง่าย การส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเป็นการเปิดประตูเข้าหาเขาอย่างงดงามไม่เสียฟอร์มแต่อย่างใด การส่งยิ้มเป็นการส่งไมตรีอันดีใคร ๆ ก็ต้องรับไว้ทั้งนั้นแหละ การยิ้มคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่ามากจนอีกฝ่ายอ่านใจออกแล้วเผ่นแนบไปก่อนล่ะ จงยิ้มให้กับคนที่คุณคิดว่า “ปิ๊ง” และ “ตรงใจ” จริง ๆ การยิ้มไม่ควรยิ้มแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกไปยิ้มครั้งที่สองของคุณจะทำให้หนุ่มที่กำลังลังเล เกิดความมั่นใจ และพร้อมที่จะเดินเข้ามาหาคุณเลยล่ะ 2. เรียกร้องความสนใจให้เป็นเพราะสายตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดังนั้นสาว ๆ อย่างเราต้องใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ แอบมองโดยที่เขารู้ว่าเราแอบมอง แต่ไม่ถึงกับจ้องเหมือนจะกลืนกิน เมื่อเขามองกลับมาให้หลบสายตาทำทีเป็นอายผู้หญิงต้องมีจริต รู้จักเอียงอายไว้บ้าง แต่ไม่ต้องถึงกับอายตัวม้วนเหมือนแยมโรลสอดไส้ก็ได้ มันจะเกินพิกัดความพอดี และหากมีโอกาสได้พูดคุยด้วยแล้ว ให้คุณร่าเริงใส่เข้าไว้ เขินได้ แต่ต้องควบคุมไม่ให้รั่วออกไปลองหาเรื่องคุยที่อยู่ในความสนใจของเขา อันนี้คุณต้องเป็นคนช่างสังเกตว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้จักสังเกตเงียบ ๆ (อย่าให้เขาจับได้ว่าคุณกำลังเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขา) เกี่ยวกับการกินอยู่ การแต่งตัว สิ่งที่เขาอยากพูดคุย ความสบายใจ และความสุขของเขาอยู่ตรงไหนหมั่นจดจำและปฎิบัติให้ถูกต้อง 3. ทำตัวลึกลับในบางเรื่องแม้คุณจะร่าเริงอารมณ์ดีสักแค่ไหน ในบางครั้งก็ควรมีบุคลิกเงียบขรึมบ้าง ทำตัวเองให้ลึกลับน่าค้นหาหน่อย เขาจะได้อยากเข้าไปค้นหาคุณ ทำแค่ให้เขาอยาก แล้วคุณก็แอบเปิดเผยเฉพาะเขาคนเดียว บางทีผู้ชายก็แอบความท้าทายเหมือนกัน เขาภูมิใจมากถ้าเขาแอบรู้ความลับของคุณเพียงคนเดียว ผู้หญิงบางคนมักมีความเข้าใจผิด ๆ ว่าควรจะเปิดเผยตัวตันให้ผู้ชายได้รู้จัก แต่อย่าลืมสิว่าหากคุณไม่มีอะไรในตัวให้รู้สึกว่าน่าค้นหาแล้วล่ะก็ ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาสนใจ จำเอาไว้ว่าเมื่อเขาได้ใจเราง่าย เขาก็จะตีจากเราไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน 4. หัดเป็นผู้ฟังและผู้ปลอบโยนที่ดีเมื่อความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงขั้นหนึ่งแล้วถึงเวลาที่คุณต้องแสดงความจริงใจออกมาให้เขาได้เห็นด้วยการรับฟังเรื่องราวของเขา ให้เขารู้สึกว่าคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคนหนึ่ง และเขาได้รู้จักใครสักคนที่คอยเป็นเพื่อนคลายเหงา คอยปลอบโยนเรายามท้อแท้ เป็นวิธีการเอาชนะใจเขาที่แยบคายและมีแต่ผลดี ผู้ชายส่วนมากมักต้องการแฟนในแบบที่เป็นเพื่อน มากกว่าแฟนที่ทำตัวเหมือนแม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาทุกข์ใจ มีปัญหา คุณไม่ต้องเข้าไปแก้ปัญหา หรือต้องให้เขาเล่ารายละเอียดอะไรมากมายหรอก แค่เดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กุมมือให้เขาอุ้นใจว่ามีเราอยู่เคียงข้าง ผู้ชายร้อยทั้งร้อยแทบจะสยบให้คุณเลยล่ะ 5. เดทครั้งแรกการสร้างความประทับใจเป็นเรื่องสำคัญ คุณผู้หญิงทั้งหลายควรทำตัวให้พิเศษกว่าทุกวัน เช่นอาจจะสวยกว่าวันธรรมดา ดึงดูดสายตาเขาไว้ให้ได้ แต่อย่าเว่อร์มากนัก แสดงกิริยาอาการเยี่ยงปกติทุกวัน ดูแลเอาใจใส่ ถือโอกาสเดทเรียนรู้เขาให้มากขึ้นในแง่มุมอื่น ๆ วางตัวให้เป็น อย่าแสดงออกว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มันเร็วเกินไปในเดทแรก สงวนท่าทีไว้สักนิด ไว้ให้เขาค้นหาในเดทครั้งต่อไป 6. เก็บรายละเอียดควรใส่ใจเรื่องเล็กน้อย เป็นเสน่ห์ของหญิงสาว สามารถจดจำเรื่องราวดี ๆ ของเขาไว้ได้ อย่างวันเกิดหรือวันสำคัญของเขา แล้วให้ความสำคัญกับมันประหนึ่งว่าเป็นของคุณเอง นอกจากคุณจะดูแลตัวเองแล้ว คุณต้องดูแลเขาให้เหมือนที่คุณดูแลตัวเองด้วย 7. รักษาโลกส่วนตัวของคุณไว้ถ้าคุณกับเขาเพิ่งเริ่มคบกันไม่นาน อย่าให้เขารู้ว่า คุณหมกมุ่นกับเขามากเกินไป ชีวิตคุณเคยเป็นมารอย่างไร ก็ทำไปอย่างเดิม สงวนพื้นที่ของคุณไว้ไม่ให้เขาเข้ามารุกล้ำได้ เขาจะรู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหาและท้าทายกับเขามากเหลือเกิน ตอนนี้คือการพลิกเกมจากที่คุณชอบเขาก่อน ให้เขาเป็นฝ่ายตามเกมคุณบ้าง 8. ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองข้อนี้สำคัญมากจริง ๆ ชายหนุ่มจะรู้สึกดีกับหญิงสาวที่รักและดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะคุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าคุณไม่รักตัวเองเสียก่อน 9. หนทางสู่การมีเซ็กซ์ผู้หญิงคนไหนที่คิดจะถวายตัวเพื่อมัดใจชายล่ะก็หญิงสาวคนนั้นคิดผิด ! เซ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบต้องเกิดจาก ความรักของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การมีเซ็กซ์เพื่อเอาชนะสัญชาตญาณผู้ชายนั้น เมื่อได้สิ่งใดมาง่าย ๆ สิ่ง ๆ นั้นจะไร้คุณค่า เสน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้เซ็กซ์ให้เกิดคุณค่า และรู้ว่าเมื่อไรที่จะลดคุณค่ามันลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี
ผู้หญิงสวยหลายคนมักจะทะนงตัวเอง ว่าจะใช้ความสวยสยบทุกสิ่งได้ ช้าก่อน! นับจากนี้เป็นต้นไป ความมีเสน่ห์ต่างหากที่จะตราตรึงหัวใจของชายหนุ่มที่คุณหมายปองไม่ให้ดิ้นหลุด แถมยั่งยืนยาวนานกว่าความสวยเป็นไหน ๆ ซึ่งการรู้จักบริหารเสน่ห์นั้นก็คือ การใช้จริตให้ถูกลักษณะนั่นเอง และในที่นี้มันคือเรื่องเดียวกัน 1. ปิ๊งหนุ่มคนไหนยิ้มให้ก่อนเลยเป็นเคล็ดลับเด็ด ๆ แต่ง่ายแสนง่าย การส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเป็นการเปิดประตูเข้าหาเขาอย่างงดงามไม่เสียฟอร์มแต่อย่างใด การส่งยิ้มเป็นการส่งไมตรีอันดีใคร ๆ ก็ต้องรับไว้ทั้งนั้นแหละ การยิ้มคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่ามากจนอีกฝ่ายอ่านใจออกแล้วเผ่นแนบไปก่อนล่ะ จงยิ้มให้กับคนที่คุณคิดว่า “ปิ๊ง” และ “ตรงใจ” จริง ๆ การยิ้มไม่ควรยิ้มแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกไปยิ้มครั้งที่สองของคุณจะทำให้หนุ่มที่กำลังลังเล เกิดความมั่นใจ และพร้อมที่จะเดินเข้ามาหาคุณเลยล่ะ 2. เรียกร้องความสนใจให้เป็นเพราะสายตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ดังนั้นสาว ๆ อย่างเราต้องใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ แอบมองโดยที่เขารู้ว่าเราแอบมอง แต่ไม่ถึงกับจ้องเหมือนจะกลืนกิน เมื่อเขามองกลับมาให้หลบสายตาทำทีเป็นอายผู้หญิงต้องมีจริต รู้จักเอียงอายไว้บ้าง แต่ไม่ต้องถึงกับอายตัวม้วนเหมือนแยมโรลสอดไส้ก็ได้ มันจะเกินพิกัดความพอดี และหากมีโอกาสได้พูดคุยด้วยแล้ว ให้คุณร่าเริงใส่เข้าไว้ เขินได้ แต่ต้องควบคุมไม่ให้รั่วออกไปลองหาเรื่องคุยที่อยู่ในความสนใจของเขา อันนี้คุณต้องเป็นคนช่างสังเกตว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้จักสังเกตเงียบ ๆ (อย่าให้เขาจับได้ว่าคุณกำลังเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขา) เกี่ยวกับการกินอยู่ การแต่งตัว สิ่งที่เขาอยากพูดคุย ความสบายใจ และความสุขของเขาอยู่ตรงไหนหมั่นจดจำและปฎิบัติให้ถูกต้อง 3. ทำตัวลึกลับในบางเรื่องแม้คุณจะร่าเริงอารมณ์ดีสักแค่ไหน ในบางครั้งก็ควรมีบุคลิกเงียบขรึมบ้าง ทำตัวเองให้ลึกลับน่าค้นหาหน่อย เขาจะได้อยากเข้าไปค้นหาคุณ ทำแค่ให้เขาอยาก แล้วคุณก็แอบเปิดเผยเฉพาะเขาคนเดียว บางทีผู้ชายก็แอบความท้าทายเหมือนกัน เขาภูมิใจมากถ้าเขาแอบรู้ความลับของคุณเพียงคนเดียว ผู้หญิงบางคนมักมีความเข้าใจผิด ๆ ว่าควรจะเปิดเผยตัวตันให้ผู้ชายได้รู้จัก แต่อย่าลืมสิว่าหากคุณไม่มีอะไรในตัวให้รู้สึกว่าน่าค้นหาแล้วล่ะก็ ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาสนใจ จำเอาไว้ว่าเมื่อเขาได้ใจเราง่าย เขาก็จะตีจากเราไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน 4. หัดเป็นผู้ฟังและผู้ปลอบโยนที่ดีเมื่อความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงขั้นหนึ่งแล้วถึงเวลาที่คุณต้องแสดงความจริงใจออกมาให้เขาได้เห็นด้วยการรับฟังเรื่องราวของเขา ให้เขารู้สึกว่าคุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคนหนึ่ง และเขาได้รู้จักใครสักคนที่คอยเป็นเพื่อนคลายเหงา คอยปลอบโยนเรายามท้อแท้ เป็นวิธีการเอาชนะใจเขาที่แยบคายและมีแต่ผลดี ผู้ชายส่วนมากมักต้องการแฟนในแบบที่เป็นเพื่อน มากกว่าแฟนที่ทำตัวเหมือนแม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาทุกข์ใจ มีปัญหา คุณไม่ต้องเข้าไปแก้ปัญหา หรือต้องให้เขาเล่ารายละเอียดอะไรมากมายหรอก แค่เดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กุมมือให้เขาอุ้นใจว่ามีเราอยู่เคียงข้าง ผู้ชายร้อยทั้งร้อยแทบจะสยบให้คุณเลยล่ะ 5. เดทครั้งแรกการสร้างความประทับใจเป็นเรื่องสำคัญ คุณผู้หญิงทั้งหลายควรทำตัวให้พิเศษกว่าทุกวัน เช่นอาจจะสวยกว่าวันธรรมดา ดึงดูดสายตาเขาไว้ให้ได้ แต่อย่าเว่อร์มากนัก แสดงกิริยาอาการเยี่ยงปกติทุกวัน ดูแลเอาใจใส่ ถือโอกาสเดทเรียนรู้เขาให้มากขึ้นในแง่มุมอื่น ๆ วางตัวให้เป็น อย่าแสดงออกว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มันเร็วเกินไปในเดทแรก สงวนท่าทีไว้สักนิด ไว้ให้เขาค้นหาในเดทครั้งต่อไป 6. เก็บรายละเอียดควรใส่ใจเรื่องเล็กน้อย เป็นเสน่ห์ของหญิงสาว สามารถจดจำเรื่องราวดี ๆ ของเขาไว้ได้ อย่างวันเกิดหรือวันสำคัญของเขา แล้วให้ความสำคัญกับมันประหนึ่งว่าเป็นของคุณเอง นอกจากคุณจะดูแลตัวเองแล้ว คุณต้องดูแลเขาให้เหมือนที่คุณดูแลตัวเองด้วย 7. รักษาโลกส่วนตัวของคุณไว้ถ้าคุณกับเขาเพิ่งเริ่มคบกันไม่นาน อย่าให้เขารู้ว่า คุณหมกมุ่นกับเขามากเกินไป ชีวิตคุณเคยเป็นมารอย่างไร ก็ทำไปอย่างเดิม สงวนพื้นที่ของคุณไว้ไม่ให้เขาเข้ามารุกล้ำได้ เขาจะรู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหาและท้าทายกับเขามากเหลือเกิน ตอนนี้คือการพลิกเกมจากที่คุณชอบเขาก่อน ให้เขาเป็นฝ่ายตามเกมคุณบ้าง 8. ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองข้อนี้สำคัญมากจริง ๆ ชายหนุ่มจะรู้สึกดีกับหญิงสาวที่รักและดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะคุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าคุณไม่รักตัวเองเสียก่อน 9. หนทางสู่การมีเซ็กซ์ผู้หญิงคนไหนที่คิดจะถวายตัวเพื่อมัดใจชายล่ะก็หญิงสาวคนนั้นคิดผิด ! เซ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบต้องเกิดจาก ความรักของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การมีเซ็กซ์เพื่อเอาชนะสัญชาตญาณผู้ชายนั้น เมื่อได้สิ่งใดมาง่าย ๆ สิ่ง ๆ นั้นจะไร้คุณค่า เสน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้เซ็กซ์ให้เกิดคุณค่า และรู้ว่าเมื่อไรที่จะลดคุณค่ามันลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี
บ้านไร่ปลายตะวันกะการบินไทยFamily
29-30 ไปเที่ยววังน้ำเขียวมา ประมาณ 35 คนได้ (ครอบครัวการบินไทย) ถามว่าสวยไหม ก้อสวยนะ แต่ที่ไปพักน่ะ เป็นรีสอร์ทที่ยังสร้างไม่เสร็จเลย แต่สวยนะ ชื่อ บ้านไร่ปลายตะวัน รู้แต่ว่าเจ้าของเป็นผู้ใจดีท่านหนึ่ง ค่าใช้จ่าย ค่าที่พัก รู้สึกว่าจะไม่เสีย ท่านเจ้าของแค่ต้องการให้คนที่มาพักได้ร่วมทำบุญให้กะวัดหนึ่งที่ท่านผู้ใจบุญท่านนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อถวายให้วัด ถ้าไปที่บ้านไร่ปลายตะวันก้อจะเห็นพระพุทธรูปตั้งตระหง่านอยู่ นั้นแหละค่ะวัดนั้นเอง แต่จำชื่อไม่ได้ ถ้าหาไม่พบก็ถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่ะ ฝีมือการถ่ายรูปเป็นฝีมือของเจ้าของ Blog เอง อาจจะไม่สวยนะค่ะ รูปที่เห็นคนเยอะๆนั้นคือรูปที่วัดที่บอกค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กซะหมด...จัยเด็กไง รูปที่มีนางยักษ์กำลังกินน้ำเต้านั่นที่"จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" กับภาพที่มีสาว4คนยืนเกาะฟักทอง อีกรูปเห็นไหมค่ะเท่ห์นั่งซะสวยเชียว (รึเปล่า) อีกรูปเป็นวิวซึ่งผู้ถ่ายคิดว่ารูปนี้รูปงามมาก ฝีมือนะเนี่ย 555 ก่อนจากกันจากหน้านี้ ขอให้ผู้อ่านสวย หล่อ มีตังค์เยอะๆ รักกันมากมาก เฮงๆๆ เป็นคนดีของประเทศนะค่ะสวัสดีปีใหม่ 2008
Labels:
คนดี,
ใจดี,
เด็ก,
บ้านไร่ปลายตะวัน,
ประเทศ,
ปีใหม่,
รีสอร์ท,
วังน้ำเขียว,
วัด
Wednesday, January 2, 2008
รักแห่งสยาม
เพลง: กันและกันอัลบั้ม: Ost. รักแห่งสยามศิลปิน: สุวีระ บุญรอด (คิว วงฟลัวร์)
ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหมมันอาจไม่เพราะ ไม่ซึ้งไม่สวยงามเหมือนเพลงทั่วไปอยากให้รู้ ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้แต่กับเธอคนดีรู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่าย...ดาย
เธอคงเคยได้ยินเพลงรักมานับร้อยพันมันอาจจะโดนใจ แต่ก็มีความหมายเหมือนๆ กันแต่ถ้าเธอฟังเพลงนี้ เพลงที่เขียนเพื่อเธอเท่านั้นเพื่อเธอเข้าใจความหมาย แล้วใจจะได้มีกันและกัน
** ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน อยู่ด้วยกันตราบนานๆ ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวังคือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจ ฉันมีปลายทาง
มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมายและที่ผ่านมาฉันใช้เวลาเพื่อหาความหมายแต่ไม่นานก็เพิ่งรู้ เมื่อทุกครั้งที่มีเธอใกล้ว่าถ้าชีวิตคือทำนอง เธอก็เป็นดังคำร้องที่เพราะและซึ้งจับใจ
(**)
มีทางเดินให้เราเดินเคียง และมีเสียงของเธอกับฉันมีทางเดินให้เราเดินร่วมเคียง และมีเสียงของเธอกับฉัน
ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหมมันอาจไม่เพราะ ไม่ซึ้งไม่สวยงามเหมือนเพลงทั่วไปอยากให้รู้ ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้แต่กับเธอคนดีรู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่าย...ดาย
เธอคงเคยได้ยินเพลงรักมานับร้อยพันมันอาจจะโดนใจ แต่ก็มีความหมายเหมือนๆ กันแต่ถ้าเธอฟังเพลงนี้ เพลงที่เขียนเพื่อเธอเท่านั้นเพื่อเธอเข้าใจความหมาย แล้วใจจะได้มีกันและกัน
** ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน อยู่ด้วยกันตราบนานๆ ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวังคือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจ ฉันมีปลายทาง
มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมายและที่ผ่านมาฉันใช้เวลาเพื่อหาความหมายแต่ไม่นานก็เพิ่งรู้ เมื่อทุกครั้งที่มีเธอใกล้ว่าถ้าชีวิตคือทำนอง เธอก็เป็นดังคำร้องที่เพราะและซึ้งจับใจ
(**)
มีทางเดินให้เราเดินเคียง และมีเสียงของเธอกับฉันมีทางเดินให้เราเดินร่วมเคียง และมีเสียงของเธอกับฉัน
Subscribe to:
Posts (Atom)