Tuesday, January 8, 2008

เรื่องเล่าในวังอ่านยังไงก็ไม่เบื่อ

เรื่องเล่าจากในวัง- อ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่เบื่อ> >ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิด> ทีจังหวัดตาก> >เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ> >และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด> >และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา> >ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"> >แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท> >และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"> >เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน>
>---------------------------------------> >เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า> >นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ> ฟ้าหญิง> >ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย> >ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์> >นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่> หว่า> >แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ> >ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์> >แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง>
>------------------------------------> >อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน> >เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง> >ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล> >ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน> >เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า> > "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ> พุทธเจ้า.."> > มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน> > ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..> > พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า> >มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป> >ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย> >และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"> >เรื่องนี้ ดร.สุ เมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้> ในหลวง>
>-------------------------------------> >เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น> > เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของ> ท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ> >ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์">
>--------------------------------------> >เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง> แผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่> >ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน> >ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน> >ว่า " ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม> >ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูล> รายงาน ฯลฯ"> >เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่> ถือสาว่า> > "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."> >ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย> >เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้>
>------------------------> >มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย> แห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย> >ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุด> ไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"> > ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า> "เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก">
>------------------------> >เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร> >อยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว> >แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า> >"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"> >ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว "
> >--------------------------> >วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด> >ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย> >พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท> >ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท> >แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า> >"ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง"> >แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย> >แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร> >แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือ> ไม่> >แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น> >ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า> >"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ> >ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
> >-------------------> >ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว> >พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน> >มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา> >> >คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์> >ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ> >อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"> >พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"> >แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ> >ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ> >เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป>
>------------------------------> >> >เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า> >มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร> >อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ> >ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว> >ปรากฏว่า ในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า> >"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"> >และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...> >ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป> >พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว> >ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท> >ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง> >เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม> >ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน>**
เจ้าของblogดีใจที่ได้อ่านจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ด้วยความตื้นตันและรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อหลวงที่เราควรรักอย่างยิ่งเพราะจะหาใครที่เหมือนท่านคงไม่มีอีกแล้ว วันนี้คุณทำดีเพื่อพ่อรึยังค่ะ

2 comments:

Chompoo said...

อ่านแล้วตลกดีนะ
แบบว่าขำๆ อ่ะ

friend said...

ทรงมีพระอารมณ์ขันดี...ได้เห็นอีกแง่มุมของพระองค์